ส่งเสริมแม่เป็นต้นแบบรักการอ่านให้ลูก

สสส. เปิดเผยผลสำรวจ แม่ชาวกรุงฯ 63% เห็นความสำคัญของการอ่าน และ 49% ระบุว่า ทั้งพ่อและแม่เป็นต้นแบบในเรื่องรักการอ่านให้ลูก แต่มีเพียง 31% ที่อ่านหนังสือกับลูกในยามว่าง ส่วนใหญ่นิยมซื้อเสื้อผ้า ของเล่น ขนมให้ลูกในโอกาสพิเศษมากกว่าซื้อหนังสือ

เนื่องในวันที่ 12 สิงหาคมที่จะถึงนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ เครือข่ายเสียงประชาชน (we voice) ได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชนชาวกรุงเทพฯ เรื่อง “แม่กับการอ่านสร้างเสริมศักยภาพลูก เนื่องในวันแม่แห่งชาติ” โดยเก็บข้อมูลจากแม่ที่มีลูกอายุไม่เกิน 6 ปี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนทั้งสิ้น 1,020 คน พบว่า สิ่งของที่แม่นิยมซื้อให้ลูกมากที่สุดในโอกาสพิเศษต่างๆ (เช่น วันเกิด ปีใหม่) อันดับ 1 คือ เสื้อผ้า/ เครื่องประดับ (ร้อยละ 51.6) อันดับ 2 คือ ของเล่น/ ตุ๊กตา/ หุ่นยนต์ (ร้อยละ 47.5) อันดับ 3 คือ ขนม ของกิน (ร้อยละ 43.8) อันดับ 4 คือ หนังสือนิทาน/การ์ตูน (ร้อยละ 37.9)

สำหรับกิจกรรมที่แม่ทำร่วมกับลูกมากที่สุดในยามว่างคือ ดูโทรทัศน์/ ดูภาพยนตร์ (ร้อยละ 55.8) รองลงมาคือ ไปสนามเด็กเล่น/ ออกกำลังกาย/ เล่นกีฬา (ร้อยละ 39.3) ไปช้อปปิ้ง/ เดินห้าง (ร้อยละ 35.4) และอ่านหนังสือ/ นิทาน/ การ์ตูน (ร้อยละ 31.5) จุดที่น่าสนใจของผลสำรวจในส่วนนี้ คือ กิจกรรมที่แม่ทำกับลูกมากที่สุดในยามว่าง คือ ดูโทรทัศน์/ดูภาพยนต์ซึ่งมากกว่าการอ่านหนังสือ ย่อมแสดงว่าสังคมปัจจุบันต้องผลิตหรือมีสื่อดีๆ สำหรับเด็กเล็กให้มากขึ้นและการรณรงค์การอ่านยังมีความสำคัญที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามว่าเคยพาลูกไปเลือกซื้อหนังสือด้วยกันหรือไม่ พบว่ามีแม่ถึงร้อยละ 68.7 ที่ระบุว่าไม่เคยพาลูกไปซื้อหนังสือ มีเพียงร้อยละ 31.3 เท่านั้น ที่ระบุว่าเคย โดยหนังสือที่อยากเลือกให้ลูกอ่านมากที่สุด คือ หนังสือที่มีเนื้อหาพัฒนาด้านจิตใจ/ อารมณ์/ eq/ การเข้าสังคม (ร้อยละ 28.3) รองลงมาคือ หนังสือที่มีการปลูกฝังคุณธรรม/ รู้ผิดชอบชั่วดี (ร้อยละ 24.8) และหนังสือที่สร้างเสริมความรู้เชิงวิชาการที่สอดคล้องกับการเรียนที่โรงเรียน (ร้อยละ 18.3)

สำหรับสาเหตุจูงใจสำคัญที่สุดที่ทำให้แม่หาซื้อหนังสือและอ่านให้ลูกฟังคือ การที่แม่เห็นความสำคัญของการอ่าน (ร้อยละ 63.6) รองลงมาคือ มีหนังสือดีๆเหมาะสำหรับเด็กให้เลือกซื้อหา (ร้อยละ 43.8) และได้รับแรงจูงใจจากสื่อรณรงค์การอ่าน (ร้อยละ 30.8)

ด้านความคาดหวังจากผลของการอ่านหนังสือให้ลูกฟังพบว่า ร้อยละ 57.8 คาดหวังว่าหนังสือจะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษา/ การจัดการทางอารมณ์ และเสริมสร้างจินตนาการ   ร้อยละ 55.9 คาดหวังว่าหนังสือจะช่วยฝึกนิสัยให้ลูกรักการอ่าน และร้อยละ 37.9 คาดหวังว่าหนังสือทำให้ลูกเรียนหนังสือเก่ง

ส่วนเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้แม่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาอ่านหนังสือกับลูกคือ ไม่มีเวลา/ ทำงาน (ร้อยละ 47.6) รองลงมาคือ ลูกต้องเรียนพิเศษ (ร้อยละ 11.9) ชอบดูทีวีด้วยกันมากกว่า (ร้อยละ 10.0) และคิดว่าลูกได้อ่านมาจากโรงเรียนอยู่แล้ว (ร้อยละ 8.6)

เมื่อถามความเห็นว่าใครเป็นผู้มีบทบาทในการสร้างให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านมากที่สุดอันดับแรกคือ พ่อแม่/ครอบครัว (ร้อยละ 52.7) รองลงมาคือ ครู/โรงเรียน (ร้อยละ 42.8) และเพื่อนของลูก (ร้อยละ 1.3) ทั้งนี้เมื่อถามต่อว่าในครอบครัวของท่านมีบุคคลที่เป็นต้นแบบในเรื่องรักการอ่านหรือไม่   ร้อยละ 65.4 ระบุว่า “มี” โดยในจำนวนนี้ระบุว่าได้แก่ ตัวพ่อกับแม่เอง (ร้อยละ 49.0) รองลงมาคือ ลุง ป้า น้า อา (ร้อยละ 7.4) และปู่ ย่า ตา ยาย (ร้อยละ 7.1) ขณะที่ร้อยละ 34.6 ระบุว่า “ไม่มี”

สุดท้ายเมื่อถามว่าเคยได้รับการจัดสรรค์สนับสนุนหนังสือสำหรับเด็กช่วงวัยแรกเกิดจนถึง 6 ปี ที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนจากหน่วยงานภาครัฐ/ เอกชนหรือไม่ แม่ถึงร้อยละ 76.8 ระบุว่า “ไม่เคย” ขณะที่ร้อยละ 23.2 ระบุว่า “เคย” โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ร้อยละ 19.8 เคยได้รับจำนวน 1 – 5 เล่ม รองลงมา ร้อยละ 2.7 เคยได้รับ 6  – 10 เล่ม และร้อยละ 0.7 เคยได้ 10 เล่มขึ้นไป

จากผลการสำรวจในครั้งนี้ นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวว่า ประเทศไทยแต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่ปีละ 8 แสนคน มีเด็กแรกเกิดจนถึง 5 ปีรวมปีละ 4.5 ล้านคน แสดงว่ามีเด็กเข้าถึงหนังสือเพียงปีละ 1 ล้านกว่าคน ขณะที่เด็กกว่า 3.4 ล้านคน ยังขาดโอกาสด้านนี้ ทั้ง ๆ ที่งานวิจัยทางการแพทย์เห็นสอดคล้องกันว่าหนังสือภาพ การเล่านิทาน อ่านหนังสือมีความสำคัญในการพัฒนาสมอง และทักษะชีวิตของเด็กแทบทุกด้าน ทั้งทักษะทางภาษา และการเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จึงขอถือโอกาสเรียกร้องให้เพิ่มปริมาณสวัสดิการหนังสือแก่เด็กแรกเกิดและช่วงปฐมวัย เพื่อให้แม่ทุกคนได้มีเครื่องมือสำคัญและมีศักยภาพในการพัฒนาลูกอย่างรอบด้าน

 

 

ที่มา : แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส.

Shares:
QR Code :
QR Code