สิ่งยั่วยุในสังคม ทำให้วัยรุ่นเสี่ยงเข้าสู่อบายมุข

ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


สิ่งยั่วยุในสังคม ทำให้วัยรุ่นเสี่ยงเข้าสู่อบายมุข thaihealth


แฟ้มภาพ


จากสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมขณะนี้นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเนื่องจากมีสิ่งยั่วยุมากมายทั้งจากการโฆษณาและจากเน็ตไอดอลต่างๆอาจทำให้วัยรุ่นเสี่ยงมีพฤติกรรมไปในทางที่ไม่เหมาะสมได้ง่ายที่สำคัญคือการใช้สารเสพติดเช่นการสูบบุหรี่ดื่มเหล้า


นายแพทย์กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า จากรายงานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยล่าสุดในปี2561ทั่วประเทศมีกลุ่มวัยรุ่นอายุ11-20ปีจำนวน8ล้านกว่าคนส่วนใหญ่อยู่ในระบบการศึกษาอย่างไรก็ดีจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมขณะนี้นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเนื่องจากมีสิ่งยั่วยุมากมายทั้งจากการโฆษณาและจากเน็ตไอดอลต่างๆอาจทำให้วัยรุ่นเสี่ยงมีพฤติกรรมไปในทางที่ไม่เหมาะสมได้ง่ายที่สำคัญคือการใช้สารเสพติดเช่นการสูบบุหรี่ดื่มเหล้าซึ่งมีผลเกิดการเสพติดทำลายความสามารถของสมองโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิดความจำเสียการเรียนและมีผลทำให้เกิดโรคทางจิตเวชเช่นโรคซึมเศร้าโรควิตกกังวลโรคจิตเภทได้และอาจเป็นประตูไปสู่การใช้สารเสพติดอื่นๆตามมา


          ทางด้านแพทย์หญิงสายสุดา สุพรรณทอง จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาฯ กล่าวว่า ผลการศึกษาของกรมสุขภาพจิตล่าสุดในปี2559ในกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาอายุ13-17ปีมีปัญหาติดเหล้าและบุหรี่รวม3แสนกว่าคนโดยติดบุหรี่ร้อยละ2.4หรือประมาณ93,000คนจากกลุ่มวัยนี้ที่มีจำนวนเกือบ4ล้านคนและติดเหล้าร้อยละ6.4หรือมีประมาณ240,000คนพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง2-4เท่าตัวจากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยติดสุราที่เข้าบำบัดรักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาฯล่าสุดปีนี้พบมีอายุน้อยที่สุดเพียง20ปีเท่านั้นซึ่งไม่สามารถรักษาให้สมองกลับมาเหมือนเดิมได้


          แพทย์หญิงสายสุดา สุพรรณทอง กล่าวต่อว่า โอกาสพฤติกรรมความเสี่ยงของวัยรุ่นแต่ละคนแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่นการเลี้ยงดูสภาพครอบครัวพื้นฐานทางอารมณ์แต่ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อนเนื่องจากวัยรุ่นส่วนใหญ่จะผูกพันกับเพื่อนมากจะเรียนรู้ทักษะทางสังคมรวมถึงการยอมรับค่านิยมต่างๆแนวคิดการปฏิบัติมาจากเพื่อนซึ่งในช่วงเปิดเทอมใหม่นี้เป็นโอกาสที่วัยรุ่นจะได้พบทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ในโรงเรียนอาจถูกชักชวนไปในทางที่ไม่เหมาะสมได้และบางครั้งวัยรุ่นเองไม่ได้คิดอะไรให้รอบคอบเพราะเกรงใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวเพื่อนโกรธเป็นต้นจึงจำเป็นต้องมีความรู้และมีทักษะการปฏิเสธหากถูกเพื่อนชักชวนไปในทางที่ไม่ดีเพื่อใช้ในดำเนินชีวิตประจำวันอย่างปลอดภัยเป็นผลดีต่อตนเอง


          สำหรับเทคนิคปฏิเสธเพื่อนให้ได้ผลและไม่เสียเพื่อนด้วยมีข้อแนะนำ5ประการดังนี้1.ให้ใช้การปฏิเสธอย่างจริงจังทั้งท่าทางคำพูดและน้ำเสียงเพื่อแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจนเนื่องจากการปฏิเสธเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ทุกคนควรเคารพและยอมรับ2.ให้ใช้ความรู้สึกเป็นข้ออ้างประกอบเหตุผลด้วยเช่นไม่สบาย,หมอสั่งห้ามจะทำให้ฝ่ายชักชวนโต้แย้งได้ยากขึ้น3.ควรบอกปฏิเสธให้ชัดเจนเช่นไปไม่ได้หรอก,ไม่ชอบ,ขอไม่ไปด้วย4.การขอความเห็นชอบและแสดงอาการขอบคุณเมื่อผู้ชวนยอมรับการปฏิเสธเพื่อเป็นการรักษาน้ำใจของผู้ชวนเช่นพูดว่าคงไม่ว่านะ,คงเข้าใจนะและ5.ให้ออกจากสถานการณ์นั้นโดยกรณีเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นที่ไม่น่าไว้วางใจหรืออาจเป็นอันตรายก็ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจแต่อย่างใดเพียงใช้การปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วออกไปจากสถานการณ์โดยเร็ว


          แพทย์หญิงสายสุดา กล่าวต่อไปอีกว่า หากปฏิเสธไปแล้วแต่เพื่อนยังพูดเซ้าซี้ชักชวนหรือพูดสบประมาทซึ่งอาจจะสร้างความสับสนไขว้เขวได้ขอให้ยืนกรานการปฏิเสธโดยให้เลือกใช้3เทคนิคอย่างใดอย่างหนึ่งพร้อมบอกลาแล้วเดินจากไปทันทีดังนี้1.ปฏิเสธซ้ำโดยไม่ต้องใช้ข้ออ้าง2.การต่อรองและเบนความสนใจโดยชวนเพื่อนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทนเช่นพูดว่าเรากลับบ้านกันดีกว่าเดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วงหรือ3.การผัดผ่อนยืดเวลาออกไปเพื่อให้ผู้ชวนเปลี่ยนความตั้งใจเช่นพูดว่าเอาไว้วันหลังดีกว่า,ตอนนี้ยังไม่ว่างเทคนิคการปฏิเสธเพื่อนที่กล่าวมาวัยรุ่นสามารถใช้ในกรณีถูกชวนให้กระทำเรื่องอื่นๆที่เป็นอันตรายต่อตัวเองเช่นชวนเล่มเกมพนันมีเพศสัมพันธ์ร่วมแก๊งค์รถซิ่งได้ด้วย

Shares:
QR Code :
QR Code