สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่

ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลกับไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลก

 









ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลก

 

เป็นการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจในคน

เป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ทั่วโลก

 

เป็นโรคที่หายได้เอง แต่อาจมีอันตรายร้ายแรง และถึงชีวิตได้ในผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

เป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก

 

เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตราวๆ 250,000500,000 คนในแต่ละปี

เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง จะเกิดทุกๆ 1142 ปี ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา อาจทำให้เสียชีวิตได้นับล้าน

 

เกิดขึ้นตามฤดูกาลทุกปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวในเขตที่มีความหนาวเย็นปานกลาง

มีการระบาดสามครั้งในศตวรรษที่ผ่านมา คือ ในปี 1968, 1957, 1918

 

มีวัคซีนป้องกัน    

วัคซีนจะพัฒนาขึ้นได้เมื่อเรารู้ถึงสายพันธุ์ของไวรัสที่แพร่ระบาด

 

 

 คุณกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือไม่

 

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

 

สำหรับไข้หวัดประเภทนี้ ถือว่าทุกคนอยู่ในภาวะเสี่ยง เพราะว่าการติดเชื้อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งเป็นไปโดยง่าย โดยละอองฝอยที่ออกมาทางจมูกหรือปากของผู้ติดเชื้อ ซึ่งละอองฝอยเหล่านี้สามารถแพร่โดยตรงไปสู่จมูก ปาก หรือตาของผู้ที่อยู่ใกล้เคียง (ในระยะ 1 เมตร หรือ 3 ฟุต) หรือโดยทางอ้อม ผ่านการสัมผัสสิ่งของหรือพื้นผิวที่ละอองฝอยนั้นตกลงไปแล้วไปสัมผัสกับจมูก ปาก หรือตา ก่อนที่จะล้างมือ สภาพแวดล้อมที่แออัดภายในอาคารอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโรค ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่อาจอธิบายถึงการแพร่ระบาดของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เพิ่มมากขึ้น

 

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอาจมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรงหรือถึงกับเสียชีวิต โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และในกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคเบาหวาน หญิงตั้งครรภ์ ทารก และเด็กเล็ก ต่างก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีโรคแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่นี้

 

องค์การอนามัยโลกคาดประมาณว่าในแต่ละปี ผู้คนประมาณ 35 ล้านคนทั่วโลกมีอาการป่วยและโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงจากไข้หวัดใหญ่ และการเสียชีวิตประมาณ 250,000500,000 คน

 

 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลก

 

เมื่อเกิดการระบาดทั่วโลก นั่นหมายถึงทุกคนตกอยู่ในภาวะเสี่ยง มิใช่เพียงแต่คนที่สูงอายุเท่านั้น ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลก แพร่จากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้ง่าย และรวดเร็วเท่ากับไข้หวัดตามฤดูกาล แต่ที่แตกต่างก็คือ ผู้คนไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดใหม่นี้ ดังนั้น ผู้คนจึงติดเชื้อนี้ได้มากกว่า นอกจากนั้น เป็นไปได้ว่า แม้แต่คนที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวและมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งปกติจะไม่เกิดโรคแทรกซ้อนเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ก็อาจมีโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและอาจเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลกได้

 

อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญที่จะรู้ว่า (คนส่วนใหญ่ที่ป่วยจากไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลกจะหายและมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตัวใหม่นี้ในที่สุด)

 

 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคน

 

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในคน ได้แก่

 

– เชื้อแพร่กระจายผ่านละอองฝอยที่ติดเชื้อจากทางเดินหายใจ

 

– ละอองฝอยถูกพ่นออกมาโดยการพูดคุย การถ่มน้ำลาย การไอ และจาม

 

– ละอองฝอยสามารถแพร่กระจายได้ประมาณ 1 เมตร (3 ฟุต) จากผู้ติดเชื้อทั้งโดยทางตรง หรือโดยทางอ้อมผ่านการสัมผัสกับมือ หรือสิ่งของ

 

– เชื้อไวรัสสามารถอยู่ได้หลายชั่วโมงบนพื้นผิววัตถุ เสื้อผ้า หรือกระดาษ

 

– ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสามารถติดเชื้อได้ผ่านการจับมือ หรือสัมผัสกับลูกบิดประตู คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ฯลฯ ที่มีเชื้อแล้วมาสัมผัสกับปาก จมูก หรือตา

 

– บางครั้งไวรัสสามารถแพร่กระจายในอากาศ

 

– ผู้ที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อได้มากสุดเมื่อมีไข้ และไอ

 

– มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อได้ก่อนที่จะแสดงอาการป่วยหนึ่งวัน

 

 

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นไข้หวัดใหญ่

 

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

 

– มีไข้

– ปวดศีรษะ

– ปวดกล้ามเนื้อ

– รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย

– เบื่ออาหาร

– เจ็บคอ

– มีน้ำมูก หรือคัดจมูก

-ไอแห้งๆ

 

 

ไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลก

 

ในขณะที่อาการระยะแรกของไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดทั่วโลกนั้น อาจจะมีลักษณะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล การเปลี่ยนแปลงของอาการขึ้นอยู่กับธรรมชาติของเชื้อไวรัส มีแนวโน้มว่าคนส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยไม่ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ แต่อาการดังต่อไปนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าคุณควรไปพบแพทย์

 

– หายใจถี่ขณะพัก หรือทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ

– มีไข้ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4 หรือ 5 วัน

– หายใจเจ็บ หรือรู้สึกหายใจลำบาก

– ไอมีเสมหะมาก หรือมีเลือดปน

– หายใจเสียงดัง

– คุณรู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่ก็กลับมามีไข้สูงหรือไอมากและมีเสมหะอีกครั้ง

– คุณรู้สึกง่วงซึมมาก ปลูกไม่ค่อยตื่นหรือรู้สึกสับสน หรือมึนงง

 

คุณควรจะตระหนักว่าในระหว่างที่มีการระบาดทั่วโลกนั้น ผู้คนจะแห่กันไปรับบริการทางการแพทย์ หรือบางแห่งอาจจำเป็นต้องปิดบริการ ดังนั้น ทั้งคุณและครอบครัวของคุณควรจะเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลรักษากันเองที่บ้านหากสถานการณ์เกิดเลวร้ายถึงที่สุด

 

 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่

มันคือหวัด หรือไข้หวัดใหญ่

 

ข้อมูลข้างล่างบ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างอาการของไข้หวัดใหญ่และหวัดธรรมดา

 













อาการ

หวัดธรรมดา

ไข้หวัดใหญ่

 

ไข้

มีน้อย

มีเสมอ (100 F ถึง 102  F) บางครั้งอาจสูงกว่านี้ โดยเฉพาะในเด็กเล้ก เป็นอยู่ประมาณ 34 วัน

 

ปวดหัว

มีน้อยมาก

พบบ่อย

อาการปวดตามตัวทั่วไป

เล็กน้อย

มีเสมอ มักปวดมาก

 

อาการอ่อนล้าไม่มีแรง

เป็นบางครั้ง

มีเสมอ มักปวดมาก

 

อาการอ่อนเพลียมาก

ไม่มี

มีเสมอ โดยเฉพาะในระยะแรกของการเจ็บป่วย

คัดจมูก

พบบ่อย

เป็นบ้าง

จาม

มีเสมอ

เป็นบ้าง

เจ็บคอ

พบบ่อย

เป็นบ้าง

อาการแน่นหน้าอก ไอ

มีอาการน้อยถึงปานกลาง

พบบ่อย บางครั้งรุนแรงขึ้นได้

 

 *ข้อมูลจากสถาบันโรคติดเชื้อและภูมิแพ้ กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐ กันยายน 2548

 

 คุณจะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดใหญ่ได้อย่างไร

 

การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล

 

การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ข้อควรปฏิบัติได้แก่

 

– ปิดจมูกและปากด้วยแขนเสื้อเมื่อมีอาการไอหรือจาม (ไม่ใช้มือ เพราะมือจะเป็นตัวแพร่เชื้อโดยการสัมผัสต่อๆ ไป)

 

– ใช้กระดาษทิชชูเวลาที่ต้องการสั่งน้ำมูก และทิ้งเมื่อไม่ใช้แล้ว

 

– ล้างมือให้สะอาดหลังจากไอหรือจาม หรือหลังจากจับต้องกับสิ่งของที่อาจจะทำให้เกิดการแพร่เชื้อโดยผู้ที่ใช้ก่อนหน้าเรา แล้วเช็ดให้แห้งด้วยกระดาษทิชชู หากใช้หน้ากากอนามัย ควรทิ้งหลังจากที่ใช้แล้วและล้างมือให้สะอาด

 

– ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์ (ควรล้างด้วยสบู่และน้ำมากกว่า)

 

– ควรล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที และให้แน่ใจว่าทั่วทุกส่วนของมือและนิ้วสะอาดแล้ว

 

– มีความ ระมัดระวังในการแตะต้องสิ่งของที่ผู้อื่นแตะต้องมาแล้ว (เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ฯลฯ)

 

– หลีกเลี่ยงการจัดมือ การทักทายโดยการจุมพิต หรือกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ ที่อาจต้องสัมผัสกับผู้อื่น

 

– มีความระมัดระวังเรื่องสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจเมื่ออยู่กับผู้คน (เช่น การไอ หรือจาม) ถ้าทำได้ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลในกลุ่มเสี่ยง (เด็กเล็ก หรือกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว หรือป่วยด้วยโรคเรื้อรังจนกว่าอาการของโรคระบบหายใจจะหายไป)

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code