สิทธิความเป็นธรรมในสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ
ข้อมูลจาก: สัมมนาวิชาการสาธารณะระดับชาติสิ่งแวดล้อมมลพิษสุขภาพและความยุติธรรม หรือ Environmental and Health Justice FORUM
ภาพโดย พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
ถึงเวลาที่ภาคประชาชนมีบทบาทกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของไทย ที่ได้รับผลกระทบจากขยายตัวระบบอุตสาหกรรมอาหาร ตีแผ่ข้อมูล หวังรัฐตระหนัก ข้อเท็จจริง ชาวบ้านไม่ได้ก่อมลพิษ แต่เป็นระบบทุนที่เป็นผู้กระทำ หวังในอนาคตจะมีกฎหมายสักฉบับที่ออกมา คุ้มครองทรัพยากรท้องถิ่นโดยรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
ในงานสัมมนาวิชาการสาธารณะระดับชาติ Environmental and Health Justice FORUM “สิทธิ ความเป็นธรรมในสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะ พลเมืองไทย ที่โรงแรมเอเซีย แอร์พอร์ต ดอนเมือง ในเวที อภิปรายเรื่อง “ความยั่งยืนและเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ”
ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ยืนยันตามหลักวิชาการ ว่า การเกิดภาวะโลกร้อน หรือภาวะเรือนกระจก ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ การใส่ความคิดว่า มนุษย์ เป็นผู้ก่อมลพิษ และทำให้เกิดโลกร้อน เป็น วลีสร้างความเข้าใจผิด แต่ความจริงแล้ว ภาวะโลกร้อน เกิดจากภาวะทุนนิยม ในระบบอุตสาหกรรม ฉะนั้นประเทศยากจน แทบไม่มีโอกาสสร้างภาวะโลกร้อนน้อยมาก แต่กลับได้รับผลกระทบสูงกว่า ประเทศพัฒนาแล้วที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นับวันโลกร้อนทวีความรุนแรง
สถานการณ์โลกร้อนเพิ่งไม่เกิดมาไม่นานมานี้ ประมาณปี พ.ศ. 2520 และจากนั้นเริ่มโลกก็ค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เย็นลงอีกเลย แต่หากโลกไม่มีภาวะก๊าซเรือนกระจกเลย มนุษย์ก็จะอยู่ไม่ได้ อุณหภูมิจะติด -18 องศาเซลเซียส เดิมลักษณะของสภาพอากาศของโลก มีชั้นของภาวะเรือนกระจกปกคลุม ไม่มาก พลังงานความร้อนสามารถสะท้อนกลับออกไปได้ ใน ทุก 1 ตารางเมตร (ตรม.) จะมีพลังงานแสดงอาทิตย์เข้ามา แค่ 0.6 วัตต์ ต่อ ตรม. แต่ขณะนี้มีพลังงาน มากถึง 1.33 วัตต์ต่อ 1 ตรม. ส่วนเกินของความร้อนที่โลกสะสมไว้ มีมากถึง 237 เท่า
นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดปัญหาของระบบการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่น และน้ำเย็นในโลกเปลี่ยน พื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นอาร์กติก จะอบอุ่นขึ้น ระบบการเพาะปลูกดีขึ้น แต่พื้นที่ที่ร้อนจัด ยิ่งร้อนจัดมากกว่าเดิม หรือแม้แต่น้ำทะเล ในมหาสมุทร กระแสน้ำอุ่น ความร้อนจะส่งผลให้กระแสน้ำยิ่งร้อนมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นได้ภายใน 30 ปีจากนี้ ฉะนั้นต้องมีการเร่งการแก้ปัญหา ด้วยการใช้นโยบายหมุนเวียน โซลาร์เซลล์ กังหันลม แบตเตอรี่ เพราะจะช่วยทำให้เกิดการพึ่งตนเองด้านพลังงาน มีความเป็นอิสระ มั่นคงทานพลังงาน , ควบคุมอุณหภูมิโลกได้ตาม ข้อตกลงปารีส และใช้พลังงานได้ อย่างเหลือเฟือ เพราะเป็นพลังงานหมุนเวียน
“หากไม่มีการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนจะทำให้ทั่วโลก CDP ลดลง ประเทศยากจน ลดลง 19 % ไทย GDP ลดลง 22% เพราะพืชผลทางการเกษตรไม่สามารถผลิตได้เท่าเดิม และลดลง เนื่องจากอากาศร้อนจัด และ ในปี ค.ศ. 2100 คาดว่า ทั่วโลก GDP ลดลง 60% มีเพียงแค่ ไม่กี่ประเทศ ที่ GDP ดีขึ้น เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น จากอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น คือ ในเขตประเทศเดิมที่หนาวจัด เช่น ฟินแลนด์ ,รัสเซีย ” ผศ.ประสาท กล่าว
ตั้งคำถาม “คาร์บอนเครดิต” ลด “ภาวะเรือนกระจก”จริงไหม!
นายสุรินทร์ อ้นพรหม นักวิชาการป่าไม้อิสระ กล่าวว่าที่ผ่านมา สังคมปลูกฝังให้คนเชื่อว่า การมีผืนป่ามากขึ้นนจะทำให้โลกเย็นลง เพราะผืนป่าดูดซับปัญหาภาวะเรือนกระจก ซึ่งความจริงเป็นข้อความจริงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น นโยบายของประเทศไทย ปี 2528 สนับสนุนให้เพิ่มผืนป่าร้อยละ 40 ตั้งแต่ การประกาศพื้นที่อนุรักษ์ หรือการปลูกป่าเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการไล่รื้อคนหรือชุมชนที่อยู่ในป่าให้ออกมาจากพื้นที่ เพื่อเพิ่มผืนป่า และล่าสุดในปี พ.ศ. 2557 มีนโนบายทวงคืนผืนป่า จนเกิด ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงกฎหมายเกี่ยวกับป่าจำนวนมาก ทำให้เกิดแนวคิดว่า การพัฒนาป่า กับ การอนุรักษ์ป่าไม่ได้เป็นศัตรูกัน แต่จากนโยบายนี้กลับทำให้เกิดการแย่งยึดคืนที่ดิน ของประชาชน โดย รัฐกับกลุ่มทุนเข้าไปแทนที่
ล่าสุดในการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฎิบัติงานด้านการแเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2 รัฐบาลเศรษฐา มีการประกาศเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ได้ ร้อยละ 55 ของพื้นที่ภายในปี พ.ศ. 2580 เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก 120 ล้านตันต่อปี จึงเกิดคำถาม ว่า การดูดซับภาวะก๊าซเรือนกระจกนี้ใช้ได้จริงหรือ เพราะ การกำหนดให้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภท กลับทำให้ภาคอุตสากรรมที่ก่อก๊าซเรือนกระจก แทบไม่ได้พยายามชดเชยอะไรเลย เนื่องจากมีผืนป่าเดิม และพื้นที่ทางการเกษตรช่วยอยู่แล้ว
“หากต้องการ เพิ่มผืนป่า 55% ตามที่รัฐบาลสัญญากับสหประชาชาติ หมายความว่าต้องมีการเพิ่มการปลูกป่าอย่างน้อยถึง 30 ล้านไร่ แต่จะเอาป่ามาจากไหน ก็ต้องมาจากผืนป่าเสื่อมโทรม หรือที่ ถือครองเดิมอยู่เดิม เช่น สปก. ,ป่าชุมชน แต่กลับกันจะทำให้มีผลต่อการใช้ทรัพยากร และการดำรงชีพของกลุ่มชาติพันธุ์ ”นายสุรินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ นายสุรินทร์ ยังกล่าวว่า นโยบายเรื่องการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ,ป่าสงวน,ป่าชุมชน และป่าชายเลน ทำให้เกิดกลไกที่เอื้อประโยชน์ ในการเข้าไปปลูกป่า โดยรัฐบาล ทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต และเกิดระเบียบหลายฉบับ ครบทุกพื้นที่ได้เพียงแค่ 1 ปี เท่านั้น ทำให้เห็นถึงการเอื้อประโยชน์เพื่อกลุ่มทุน มากกว่าการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชน และการชดเชยคาร์บอนเครดิต กลับไม่ได้ทำให้เกิดการแก้ปัญหาการลดการเกิดภาวะก๊าซเรือนกระจก ที่แท้จริง เพราะหากมีเงินก็สามารถเข้าไปปลูกป่าที่ไหนก็ได้
“ไม่เกิดความเป็นธรรมในการลดภาวะภูมิอากาศต้นทางได้แท้จริง มีเงินก็ยังคงทำลายสิ่งแวดล้อมเหมือนเดิม และตรงกันข้าม กลับสร้างมายาคติ ซื้อขาย คาร์บอนเครดิต กลายเป็นทางเลือกเดียว ในการแก้ปัญหา และทำให้ ป่ากลายเป็นสินทรัพย์ของทุน กลายเป็นการฟอกเขียว เพราะไม่ได้แก้ปัญหาต้นทาง ”นายสุรินทร์ กล่าว
จุดเริ่มของสิ่งแวดล้อมพัง เพราะการขยายตัวของอุตสาหกรรมอาหาร
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวว่า จากข้อความของเลขาธิการ ยูเอ็น เมื่อ 2 ปีก่อน ระบุว่า ระบบอาหารโลก เป็นต้นเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถึง 1 ใน 3 และทำลายความหลากหลายทางชีวภาพของโลก และควรมีการเปลี่ยนแปลงระบบอาหาร และโครงสร้างการเกษตรที่ยั่งยืน
ขณะเดียวกันจากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในภาคเหนือ พบว่ามีความสัมพันธ์กับการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเริ่มเป็นปัญหาปรากฎ ต่อที่ ประชุม ครม. เมื่อปี พ.ศ. 2550 จากการขยายส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากเหนือจากพื้นที่ภาคเหนือของไทย มากถึง 2 ล้านไร่ เพื่อป้อนอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ สะท้อนได้ข้อมูลการของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พบเริ่มมีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เมียนมา กัมพูชา และลาว ในปี พ.ศ. 2549 รวมกว่า 1 ล้านตัน
ทำให้ในช่วงนั้น ปี พ.ศ. 2547-2548 มีการเปลี่ยนผืนป่าเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพด รวม 12 ล้านไร่ และล่าสุดข้อมูลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2564-2566 ในการสำรวจจุดฮอตสปอต จะพบว่า พื้นที่จุดความร้อนมาจากภาคเหนือของไทย 11.6% แต่ส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน 47.8 % แต่การแก้ปัญหากลับไปมุ่งเน้นที่เกษตรกร หรือ ชาวบ้าน แต่ไม่ได้แตะระบบอุตสาหกรรม ที่เป็นต้นตอของปัญหา
“ต้นตอของปัญหาไม่ได้ถูกเปิดเผย ทั้งที่ ข้าวโพดแทบทั้งหมดจากประเทศเพื่อนบ้าน 23 ล้านไร่ ถูกป้อนระบบอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ให้กับ บริษัทยักษ์ใหญ่ ดังนั้นการโทษชาวบ้านเรื่องการเผาง่ายกว่า และบทลงโทษชาวบ้านก็รุนแรงกว่า และในสภาวะการสงครามการค้า ก็มีบทสรุปของการระงับยับยั้งปัญหาฝุ่น PM 2.5 รัฐบาลจะมีการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯเพื่อไม่ให้เกิดการเผา ลด PM2.5 แต่ไม่ได้มีการะบุว่าจะไม่นำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้าน
ข้อมูลเหล่านี้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่า ฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ วิถีชุมชนชาติพันธุ์ หาของป่า หรือ การปลูกข้าวโพดของชาวบ้านไม่เคยก่อผลกระทบต่อระบบนิเวศเลย แต่กลับเป็นเครื่องมือ” นายวิฑูรย์ กล่าว
นอกจากนี้ยังพบว่า การขยายตัวอุตสาหกรรมอาหารยังก่อปัญหาอื่น เช่น เรื่องการนำเข้าปลาหมอคางดำ พันธุ์ปลาต่างถิ่น เพื่อมาขยายพันธุ์ปลา ต้านทานโรค เกิดพันธุกรรมใหม่ แต่กลับทำลายระบบนิเวศในประเทศนั้นๆ โดย 60% ความเสียหายของทั่วโลกเกิดจากผลกระทบจากการนำพันธุกรรมต่างถิ่นเข้ามาในประเทศ ไม่จะเป็นพืช หรือสัตว์
“ปลาหมอคางดำเข้ามาในไทย ปี พ.ศ. 2553 และเริ่มระบาดปี พ.ศ. 2554 มีการระบาดหนักกระจายไปใน 19 จังหวัดทั่วประเทศ และความหนาแน่ของสัตว์น้ำอื่นๆ ลดลง 75% ขณะที่สัดส่วนของปลาหมอคางดำมีหนาแน่มากถึง 61%
เรื่องนี้เกิดขึ้นจากเติบโตของกลไกการค้า และขาดกฎหมาย ที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมกับการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น เหมือนเช่น เรื่องปลาหมอคางดำ ที่เข้ามาในจังหวัดสมุทรสงคราม โดยที่ชาวบ้านไม่รู้ ว่าในลำคลองของเค้าเกิดอะไรขึ้น จึงยังฟ้องร้องกันอยู่ในชั้นศาล การนำเข้าอะไรเข้ามาในประเทศ ต้องมีกฎหมาย มีบทลงโทษ และความรับผิดชอบที่ชัดเจน” นายวิฑูรย์ กล่าว
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสะท้อนปัญหากลไกของรัฐ ที่มีต่อสภาพแวดล้อม ไม่ได้ออกกฎหมายมาเพื่อคุ้มครองประชาชน แต่เอื้อประโยชน์ให้กับระบบทุน และเมื่อมีการแก้ปัญหา กลับไม่มี ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม