สำคัญพอหรือยัง?…กับรายการทีวีสำหรับเด็ก
“บ้านฉันไม่มีทีวี” คำพูดนี้แทบจะไม่ได้ยินในปัจจุบัน
ทีวีหรือโทรทัศน์นั้น เป็นสื่อที่เข้าถึงกับทุกบ้าน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในประเทศ เจ้าจอสี่เหลี่ยมนี้ ก็จะไปตั้งอยู่ในบ้านคุณทุกหลัง เนื่องจากเป็นสื่อที่หาได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้หรือเทคนิคในการเข้าถึงอย่างเช่น อินเตอร์เน็ต โดยสิ่งที่ปรากฏในจอก็คือ รายการโทรทัศน์
จากหลักฐานการวิจัยในปัจจุบัน ชี้ว่าโทรทัศน์มีทั้งผลดีและผลเสียต่อเด็ก การเลือกรายการที่ดี เหมาะสมตามวัยจะช่วยส่งเสริมพฤติกรรมสังคมและพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก ในทางกลับกัน หากเลือกรายการที่ไม่เหมาะสม จะเกิดผลลบต่อความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง หากเลี่ยงไม่ได้ในการรับชมรายการที่ไม่เหมาะสม ก็ควรมีผู้ปกครองคอยแนะนำอยู่เคียงข้าง
อาจเกิดความสงสัยขึ้นได้ว่า แล้วมันไม่ดีอย่างไร? ก็เห็นเด็กรู้สึกสนุกดี ถ้าไม่ดีเด็กคงไม่นั่งดูหรอก
จริงอยู่… ที่ทีวีสามารถสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ชมได้ แต่อย่าลืมว่าข้อเสียนั้นก็มี แพทย์และนักวิชาการต่างๆออกมาบอกว่า ทีวีไม่ส่งเสริมพัฒนาการเด็ก เพราะการดูทีวีมากๆ ทำให้เด็กสมาธิสั้น อาจมีโรคอ้วน และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ ตามมา เช่น การเลียนแบบสิ่งที่เห็นในทีวี ทั้งนี้ สิ่งสำคัญนั่นคือ เด็กยังไม่มีวิจารณญาณที่ดีเท่าผู้ใหญ่ ในการแยกความดี-ความชั่ว ความจริง-สิ่งสมมติ เด็กยังไม่รู้หรอกว่า สิ่งใดเหมาะกับตน สิ่งใดไม่เหมาะ (ถึงแม้บางกรณีเด็กจะมีมากกว่าผู้ใหญ่ก็เถอะ) ไม่อย่างนั้น องค์กร unicef คงไม่ออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กหรอก ว่าเด็กต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่ ได้รับสิ่งที่ดี เหมาะสมกับพัฒนาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ฯลฯ
ปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญระดับชาติ เด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติ กลับดูโทรทัศน์มากกว่าทำอย่างอื่น ผลการวิจัยจากเอแบคโพลล์ ชี้ชัดว่า เวลาว่างของเด็กถูกใช้ในการดูทีวีประมาณ 3-5 ชั่วโมง และเกือบ 6 ชั่วโมง ในวันเสาร์อาทิตย์ ซึ่งรายการที่ส่งเสริมพัฒนาการเด็กนั้น น้อยมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับรายการประเภทอื่นๆ
ยิ่งเด็กคนไหนดูทีวีมาก ก็มีแนวโน้มว่า หากโลกจริงๆ กับโลกในจอขัดแย้งกัน เด็กอาจจะเลือกเชื่อโลกในจอก็เป็นได้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ โลกในจอได้ปลูกฝังวัฒนธรรมทางสังคม ให้แก่เด็กมากกว่าสถาบันอื่นๆ ทางสังคม
ดังนั้น สังคมจะเริ่มกันได้หรือยัง? ในการตื่นตัว ตระหนัก ถึงความสำคัญของรายการเด็ก ตระหนักหรือยัง? ว่าเด็กเป็นส่วนสำคัญของสังคม เป็นส่วนสำคัญที่จะพาประเทศชาติสู่ความเจริญ
สำคัญพอหรือยัง? ที่จะสร้างรายการดีๆ เพื่อพัฒนาให้เด็กเติบโตในสังคมที่เหมาะสม บริโภคแต่สิ่งที่เหมาะกับช่วงวัยของเขา
ถ้าเห็นความสำคัญร่วมกันแล้ว ว่าต้องมีรายการสำหรับเด็ก เราก็ต้องรู้ว่ารายการโทรทัศน์สำหรับเด็กคืออะไร?
มีหลายนิยามที่พูดถึงรายการทีวีเด็ก อธิบายง่ายๆ ก็คือ รายการที่มุ่งจัดให้เด็กดูเข้าใจได้สนุกสนาน และได้ความรู้ ได้ประโยชน์จากรายการนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน อาทิ รายการที่เน้นการแสดงออกของเด็กๆ โดยอาจจะทำในรูปของชมรมหรือสโมสร มีกิจกรรมให้เด็กทำ มีการคัดเลือกเด็กออกมาแสดง ให้เด็กได้แสดงความสามารถด้านต่างๆ เช่น ร้องรำทำเพลง เล่นดนตรี รายการวิพิธทัศนา ซึ่งอาจจะประกอบด้วยรายการย่อยๆ หลายรายการเช่น ละครหุ่นทายปัญหา เล่นเกมเล่านิทาน ประกอบภาพสอน วิธีการทำกิจกรรมต่างๆ ละครสั้นรายการตอบปัญหาความรู้สำหรับเด็ก เป็นรายการแข่งขันความรอบรู้ของเด็กในสาขาต่างๆ เป็นต้น
ที่สำคัญคือ ต้องไม่มีภาพความรุนแรง หรือการแสดงบทบาทในเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม รวมถึง ภาษาที่หยาบคาย ไม่ควรจะมีในช่วงที่เด็กดู ซึ่งหมายถึงเด็กที่อยู่ในวัยที่ดูโทรทัศน์เข้าใจ คือตั้งแต่อายุ 3 ปี จนถึงอายุ 12 ปี (จิตแพทย์ระบุว่าเด็กช่วงวัย 0-3 ปี ไม่ควรให้รับชมโทรทัศน์ เนื่องจากจะเกิดแต่ผลเสีย)
แล้วคนที่จะทำรายการเด็กให้เด็กดู ต้องมีลักษณะอย่างไร และทำแบบไหน?
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ต้องยอมรับกันในสังคมไทยคือ ผู้ผลิตรายการเด็กนั้นหายาก การทำรายการเด็ก ผู้ทำควรยึดหลักการบางประการ ที่ไม่ใช่มุ่งเพื่อให้เกิดผลทางการค้าเท่านั้น แต่ผู้ทำรายการเด็ก ควรยึดหลักการที่มุ่งเพื่อทำรายการที่อยู่บนพื้นฐานของการทำให้เกิดความเสมอภาค ความเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน การเคารพสิทธิของเด็ก การให้เด็กมีส่วนร่วม และมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่เด็กเป็นหลัก โดยรูปแบบของรายการเด็กที่ทำ ควรมีความน่าสนใจ ซึ่งสิ่งที่จะทำให้เกิดความน่าสนใจได้ คงไม่เพียงแต่มุ่งทำรายการให้มีความสนุกสนานหรือบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีรูปแบบที่ซ่อนเร้นสิ่งที่มีสาระ ที่เหมาะสม และไม่นำเสนอเนื้อหาที่หนักเกินไป แต่มีความเร้าใจชวนติดตาม ทั้งภาพ บทแสง เสียง ดนตรีประกอบ รวมทั้ง ผู้แสดงหรือผู้ดำเนินรายการ
นอกจากนี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ ไม่ควรยัดเยียดสิ่งที่เป็นสาระ ความชอบ รสนิยม หรือแนวปฏิบัติสำหรับผู้ใหญ่มากเกินไป เช่น การให้เด็กแต่งหน้า แต่งตา แต่งตัวเป็นผู้ใหญ่ที่มีอาชีพหางเครื่อง ซึ่งมิได้หมายความว่า อาชีพหางเครื่องเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่การที่นำเด็กอายุ 5-7 ขวบ ไปทำเช่นนั้น อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกว่า การแสดงจะต้องมีการแต่งหน้าเข้มแบบนั้น ต้องแต่งตัวด้วยชุดฟู่ฟ่าแบบนี้ และต้องเต้นตามจังหวะเพลง ด้วยท่วงท่าที่ผู้ใหญ่เรียกว่าเซ็กซี่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง การแสดงสามารถทำได้หลายอย่าง โดยเฉพาะการแสดงที่ให้เด็กแสดง ก็ควรเป็นการแสดงที่เหมาะสม และดูเป็นธรรมชาติตามวัยเด็ก มิใช่นำเด็กมาเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งผู้ทำรายการเด็ก ควรมีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกัน ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า เราไม่สามารถปฏิเสธนโยบายนี้ได้ เพราะกลุ่มเป้าหมายในนโยบายนี้คือ “เด็ก” และ “เด็ก” คือ สิ่งที่จะเป็นอนาคตในทุกๆ ด้านของประเทศ และสิ่งสำคัญ รูปแบบของรายการเด็ก ที่อาจทำให้น่าสนใจต้องเป็นรายการที่สามารถดูและติดตามได้ทั้งครอบครัว โดยอาจทำเป็นรายการของทุกคนในครอบครัว เพราะเด็กเป็นบุคคลที่ไม่สามารถอยู่ในสังคมได้ตามลำพัง ยังต้องอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู และยังต้องอยู่กับสภาวะแวดล้อมและระบบต่างๆ ในสังคม
ทั้งนี้ เด็กแต่ละช่วงวัย ก็จะต้องได้รับสิ่งที่แตกต่างกันตามลำดับความเหมาะสม ดังนี้
ลำดับแรก คือ ช่วงพัฒนาการวัย 3-5 ปี ความสนใจของเด็กในช่วงนี้ก็คือ ความอยากรู้ อยากเห็น เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (คน,สัตว์, ต้นไม้, สิ่งมีชีวิต) พอใจในคำชม หรือเสริมแรง ไม่ชอบการตำหนิ สามารถเล่นคนเดียวได้โดยยังไม่ต้องมีเพื่อน ชอบเรื่องราวแนวจินตนาการ เพ้อฝันเหนือจริง (fantasy) เทพนิยาย – ปกรณัม มีอภินิหารบ้างเล็กน้อย เนื้อหาที่เหมาะสมจึงควรมีความใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมที่ตัวเด็กพบเห็นอยู่ โดยเนื้อเรื่องควรดำเนินไปอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน มีตัวละครไม่มากนัก ง่ายต่อการจดจำ แนวเนื้อหาที่เหมาะสมคือ เน้นด้านภาษาและจินตนาการ มีวิธีการนำเสนอที่ดึงดูดความสนใจได้ดี เช่น นิทาน, หุ่น, การ์ตูน, การแสดงออกฯลฯ
ลำดับที่สอง คือ ช่วงพัฒนาการวัย 6-9 ปี ความสนใจของเด็กในช่วงนี้ก็คือ ยังคงชอบนิทานตำนานเรื่องราวอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ก็เริ่มที่จะสนใจโลกที่เป็นจริงมากขึ้นด้วย จากสภาพแวดล้อมที่ต้องพบปะกับคนรอบข้าง จึงมีความสนใจเด็กอื่น หรือเพื่อนที่มีช่วงวัยใกล้เคียงกัน รวมไปถึงความสนใจเกี่ยวกับธรรมชาติศึกษา ชอบการแสดงออก ชอบการยกยอให้กำลังใจ ชอบเรื่องชวนคิด และการใช้กำลังต่อสู้ เรื่องราวที่เกี่ยวกับนิทานนิยาย ที่นำเอาเรื่องราวของชีวประวัติวิทยาศาสตร์ การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ งานอดิเรกวีรบุรุษวีรสตรี หรือบุคคลสำคัญของโลก จะเป็นที่ได้รับความสนใจ แต่จะต้องไม่ยาก หรือซับซ้อนเกินไป และมีความยาวไม่มากนัก เป็นช่วงเวลาที่ควรส่งเสริมให้รักการอ่านเนื่องจากเป็นช่วงวัยกำลังเริ่มต้นศึกษาหาความรู้พื้นฐาน ที่จะเสริมความรู้การอ่านหรือภาษา จึงมีความสำคัญ
วิธีการนำเสนอที่ดึงดูดความสนใจได้ดีเช่น นิทาน, การ์ตูน, ละคร, การแสดงออก ฯลฯ
ลำดับที่สาม คือ ช่วงอายุพัฒนาการของช่วงวัย 10-12 ปี มีความสนใจที่หลุดพ้นโลกในจินตนาการระดับหนึ่ง มีความสนใจกับสิ่งรอบข้างในสภาพของความเป็นจริงมากขึ้น เริ่มสนใจกับสังคม เริ่มติดเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ รักพวกพ้อง เริ่มเรียนรู้เพื่อก้าวไปสู่การเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ เรื่องราวหรือรายการที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากขึ้น เด็กผู้ชายยังคงชอบเรื่องผจญภัยลึกลับ การค้นคว้าประดิษฐ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเครื่องยนต์กลไก เด็กหญิงชอบเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในบ้านสัตว์เลี้ยง ธรรมชาติ และชอบเรื่องเกี่ยวกับความรัก หรือบางทีก็ชอบเรื่องเกี่ยวกับการงานอาชีพศิลปะ การประดิษฐ์ การนำเสนอเรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น การจบแบบขมวดปมไว้ให้คิด จะได้รับความสนใจ วิธีการนำเสนอที่ดึงดูดความสนใจได้ดีเช่น นิทาน, การ์ตูน, ละคร, การแสดงออกฯลฯ
เฝ้าบอกว่า เด็ก คือ อนาคตของชาติ
เฝ้าบอกว่า เด็ก ต้องเรียนรู้
เฝ้าบอกว่า เด็ก ต้องเป็นคนดี
และผู้ใหญ่เล่า…เฝ้าบอกอะไรกับตัวเองหรือยัง? ว่าต้องทำรายการดีๆ สำหรับเด็ก!!!
เรื่อง : ธีรพัฒน์ อังศุชวาล
ที่มา : เครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ
update : 03-12-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน