สานอุดมการณ์ ‘ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม’ นักพัฒนาสังคม

อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นแบบอย่างของผู้ที่ใช้ความรู้ความสามารถอุทิศตนเพื่อสังคมเต็มตัวมีบทบาทเป็นนักเชื่อมประสานการพัฒนาและจัดการแก้ปัญหาของสังคม ทั้งชาวบ้าน คนยากจน ภาครัฐและเอกชนยอมรับไว้วางใจ ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกแนวคิดเรื่องธุรกิจเพื่อสังคม ไม่เพียงเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมากมาย หากแต่ยังสร้างรากฐานจนถึงทุกวันนี้

สานอุดมการณ์ 'ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม' นักพัฒนาสังคม

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2555 ชีวิตของอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม จบลงด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน คุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่อาจารย์ได้ทำไว้ชวนให้เรารำลึกถึงได้ชัดเจน ขณะเดียวกันผู้ใหญ่ในสังคมที่นับถืออาจารย์ไพบูลย์และองค์กรภาคีต่างๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานเป็นสานุศิษย์ที่ทำงานใกล้ชิด ต่างมีความคิดเห็นตรงกันในการหาแนวทางสืบสานแนวคิดและเจตนารมณ์ของอาจารย์ไพบูลย์ให้เป็นรูปธรรมร่วมกัน

ล่าสุดมีการประชุมปรึกษาหารือ “การสืบสานเจตนารมณ์อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม” ซึ่งองค์กรภาคีประกอบด้วยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ชมรม csr club สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หอจดหมายเหตุพุทธทาส สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยฯ บริษัท ร่วมทุนชนบท จำกัด มูลนิธิกองทุนไทย มูลนิธิหัวใจอาสา ร่วมกันจัดขึ้น ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น 2 หอจดเหมายเหตุพุทธทาส (สวนโมกข์ กรุงเทพฯ) โดยเชิญ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม เข้าร่วมประชุมครั้งนี้

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า อาจารย์ไพบูลย์เป็นผู้มีคุณธรรมและสร้างคุณงามความดีต่อสังคมไทย ท่านเป็นผู้มีจิตใจดีงาม รักเพื่อนมนุษย์ไม่เคยพูดจาให้ร้ายใคร มีหัวใจนักเคลื่อนไหวเพื่อเพื่อนมนุษย์เต็มเปี่ยมรวมถึงมีความมุ่งมั่นชัดเจนต้องการแก้ไขความยากจนและอยุติธรรมในสังคม โดยเจริญรอยตามอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ ปูชนียบุคคลเจ้าของคำพูด “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งการแก้ปัญหาความยากจนไม่ง่าย สิ่งสำคัญอาจารย์ไพบูลย์มีหลักการเด่นชัดมั่นคง ต้องเสริมสร้างความสามารถของคนยากจน หนุนเสริมให้เกิดการรวมตัวและการจัดการที่เรียกว่า องค์กรชุมชน เช่นเดียวกับ พอช. ที่อาจารย์ไพบูลย์ได้ก่อตั้งขึ้น ใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมชุมชนรวมตัวกันอาจารย์ไพบูลย์ยังเป็นแบบอย่างสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงทุกภาคส่วนและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน การสืบสานอุดมการณ์และภารกิจในการทำงานของอาจารย์ไพบูลย์เป็นเรื่องสำคัญเห็นด้วยหากการจัดตั้งสถาบันไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และเสนอให้จัดทำพิพิธภัณฑ์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่บ้านนาคูน จ.อยุธยา บ้านเกิดของท่าน

แม้อาจารย์ไพบูลย์ได้จากไปแล้ว ยังมีงานที่ท่านได้ฝากให้หน่วยงานหรือองค์กรทำต่อไป ซึ่งในการประชุมแต่ละหน่วยงานต่างนำเสนอโครงการหรือกิจกรรมที่จะดำเนินการเพื่อสืบสานเจตนารมณ์นักพัฒนาของประเทศผู้นี้ด้วยความตั้งใจ

ทิพย์รัตน์ นพดลดารมย์ทิพย์รัตน์ นพดลดารมย์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กล่าวว่า เดือนเมษายนที่ผ่านมาจัดเสวนา 6 ครั้ง เพื่อสืบทอดอุดมการณ์อาจารย์ไพบูลย์ โดยมีข้อสรุปสานต่อหลักการทำงานสำคัญ ทั้งแผนชีวิตชุมชนและตัวชี้วัดความสุข จัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลให้ชุมชนดูแลจัดสวัสดิการตัวเอง และเกิดการเกื้อกูลซึ้งกันและกัน ยึดหลักให้อย่างมีคุณค่าและรับอย่างมีศักดิ์ศรี รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัย จนถึงเรื่ององค์กรการเงินและทุนชุมชน ใช้ชุมชนเป็นแกนหลัก พื้นที่เป็นตัวตั้ง โดย พอช.จะประสานภาคีสนับสนุนให้เกิดการปฏิรูป มีแผนจัดการพัฒนาชุมชนตัวเอง นี่คือสิ่งที่อาจารย์ไพบูลย์อยากเห็น

“ทิศทางใหญ่มีโครงการจะจัดตั้งสถาบันไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ขึ้นมา ใช้เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้และสืบค้นอุดมการณ์ การทำงานเพื่อสังคมเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นหลัง สร้างแรงบันดาลใจคนรุ่นใหม่พัฒนาสังคม หวังให้ทุกภาคส่วนเป็นเจ้าของร่วมกัน ทำให้สังคมดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม แต่ละภาคีต้องขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม”ทิพย์รัตน์ เผย

ศิริวรรณ เจนการศิริวรรณ เจนการ ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยฯ บอกว่า มูลนิธินี้ก่อตั้งมา 40 ปี อาจารย์ไพบูลย์มาร่วมงาน พ.ศ.2532 เป็นต้นแบบของนักพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอสมัยใหม่ ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ผลสำเร็จในการทำงาน ชี้วัดจากเงินกองทุนไม่เคยสะดุด มีความมั่นคงทางการเงินก่อนจะทำงานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคม ต้นปี 2555 อาจารย์มาร่วมประชุมกับมูลนิธิในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ พร้อมกระตุกต่อมคิดให้ทำโครงการศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนบนเนื้อที่ 33 ไร่ ของศูนย์เรียนรู้ชุมชนป๋วย อึ้งภากรณ์ จ.ชัยนาท ของมูลนิธิฯ เป็นการทำงานพัฒนาในมิติใหม่ สินค้าทางปัญญาที่สำคัญ คือ หลักสูตรอบรมเศรษฐกิจพอเพียง สินค้าทางการเกษตร คือ สินค้าช่วยการเกษตร เช่น น้ำส้มควันไม้ ความคิดเหล่านี้จะเดินต่อให้สำเร็จ

ประภาภัทร นิยม สถาบันอาศรมศิลป์ก็มีโครงการแจ่มชัดสืบสานเจตนารมณ์ ประภาภัทร นิยม ระบุจะเดินหน้าหลักสูตรผู้ประกอบการสังคมในฐานะเจ้าของหลักสูตร เป็นโครงการด้านการศึกษาที่อาจารย์ไพบูลย์ได้สั่งเสียครั้งสุดท้ายขณะเป็นที่ปรึกษาและอดีตกรรมการ สถาบันฯ เป็นหลักสูตรที่ให้ผู้นำชุมชน อาสาสมัครทั่วประเทศเข้าเรียนโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน เชิญชวนจิตอาสามาสอนโดยไม่มีค่าตอบแทน สร้างจิตอาสา โดยใช้ชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ นักศึกษาต้องมีโครงการประกอบการทางสังคม เปิดอบรมและเทียบโอนสู่สถาบัน ไม่ให้ผิดกฎหมายเปิดเรียนนอกที่ตั้ง สานปณิธานสร้างพลังสังคมต้องทำระดับรากหญ้า ปัจจุบันเปิดแล้ว 23 ศูนย์ ใน 22 จังหวัด คาดหวังใน 4 ปี มีผู้นำชุมชนและ อสม.เข้ามาศึกษา 10,000 คน นักศึกษารุ่นแรก 1,000 คน จบปริญญาตรี มีสินค้าและผลิตจากกิจกรรมประกอบการทางสังคม 5,000 ชนิด และจะขยายครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ที่สำคัญนักศึกษามีบทบาทเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงชุมชนไม่น้อยกว่า 1,000 ชุมชน

อาจารย์อนุชาติ พวงสำลี ขณะที่ อาจารย์อนุชาติ พวงสำลี จากศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ม.มหิดล ร่วมนำเสนอแผนงานผ่านโครงการจดหมายเหตุไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนอาจารย์จะจากไปได้ร่วมงานทำการเก็บรวบรวมประวัติ เอกสาร วัตถุ ของบุคคลที่เป็นคลังปัญญาทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและชาวบ้าน เพราะความรู้สูญสลายไปเมื่อเสียชีวิตยกเว้นผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ หลังปรึกษาหารือ ตนขออนุญาตเก็บรวบรวมและนำเสนอแก่นความคิดของอาจารย์ไพบูลย์เริ่มเป็นบุคคลแรก ซึ่งท่านยินดี ที่ผ่านมาได้รวบรวมและจัดระบบเอกสาร เตรียมสังเคราะห์ประเด็นนำเสนอบนเว็บไซต์ ยังไม่ทันสำเร็จอาจารย์ก็สิ้น ขณะนี้ร่วมกับสถาบัน change fusion สานต่อโครงการ เน้นสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ เพราะงานเขียนและข้อคิดของอาจารย์สะท้อนสังคมไทย เปิดโอกาสให้ลูกชาวบ้านเติบโตใช้ความรู้มาพัฒนาบ้านเมือง จนกระทั่งได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เป็นแบบอย่างความสำเร็จชีวิตคนธรรมดาให้คนรุ่นหลัง

ชีวิตผู้ป่วยเป็นอีกภารกิจที่อาจารย์ไพบูลย์ได้มีบทบาททำงานและแก้ปัญหามาต่อเนื่องเวทีเดียวกัน อรจิตต์ บำรุงสกุลสวัสดิ์ จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำเสนอโครงการด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า สองสัปดาห์ก่อนอาจารย์ไพบูลย์จะจากไป ได้ประชุมหารือจะจัดตั้งศูนย์ประสานงานผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยอาจารย์รับเป็นที่ปรึกษาโครงการ โดยแนะนำให้รวมพลังเครือข่ายจัดการความรู้และบริหารจัดการในรูปแบบสถาบันก็จะดำเนินการต่อ

“ท่านปรารถนาพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ศูนย์นี้เป็นประโยชน์ เพราะเครือข่ายผู้ป่วยเสียเปรียบเชิงร่างกาย ทำให้ทำงานไม่เต็มที่ อนาคตศูนย์นี้จะเป็นศูนย์ประสานงานเครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรังด้วย ไม่เฉพาะมะเร็ง นอกจากนี้มีโครงการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (home health care) ต้องทำต่อให้ได้ และขอพลังเครือข่ายมาช่วย พวกเราไม่เคยลืมอาจารย์ไพบูลย์” อรจิตต์กล่าวทิ้งท้ายทั้งน้ำตาด้วยระลึกถึงนักพัฒนาชุมชนผู้นี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Shares:
QR Code :
QR Code