สังคมสมานฉันท์ สักวัน…ฝันจะเป็นจริง
มาร่วมกันสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่
บรรยากาศการเมืองที่กลับมาร้อนรุ่มน่ากลุ้มใจกันอีกครั้งในเวลานี้ หลังหยุดเว้นวรรคไปแค่ 2 สัปดาห์ เชื่อว่าทำให้สังคมไทยเกิดอาการกังวลผสมผสานกับรู้สึกเหม็นเบื่อมากน้อยแตกต่างกันไปอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายคนอาจจะกลับมาตั้งคำถามเดิมว่า
เมื่อไหร่?!? “กีฬาสี” ในบ้านในเมืองจะลาโรงไปเสียที
ทำยังไง ?!? สังคมไทยจะคืนสู่ภาวะปกติ เดินไปไหนมาไหนด้วยเสื้อสีอะไรก็ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกตีกบาล วิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ทำได้โดยอิสระ ไม่ต้องเกร็งว่า คนฟังใส่เสื้อสีเหลือง หรือสีแดงจะมาฟาดปาก
ผมว่า…คำตอบมีอยู่ในใจทุกคนแล้วล่ะครับ เพียงแต่เรายังไม่ยอมรับความจริงกันเท่านั้นเอง
ความจริงที่ค่อนข้างเจ็บปวด เพราะวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้จนถึงปีหน้าที่กำลังจะถึง สังคมไทยก็คงจะยากที่จะมีโอกาสสัมผัสกับคำว่าสมานฉันท์
ทำไมฟันธง!
กระแสข่าวกรณีอดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แสดงความปรารถนาดีที่จะเข้าไปเจรจาในฐานะพี่น้องโรงเรียนเตรียมทหารฯ กับผู้นำกลุ่มเสื้อแดงตัวจริง แต่ถูกตอกกลับมาหน้าหงาย โต้ตอบด้วยเนื้อหาสาระเสียๆ หายๆ สารพัดนั้น น่าจะเป็นสัญญาณบอกผลลัพธ์ได้ในตัว
นอกจากนั้นก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า เงื่อนไขของการเจรจา คือยุบองค์กรอิสระทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ แม้กระทั่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งผลสรุปสุดท้ายคือ คดีที่ดินรัชดาภิเษกที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษทักษิณ ชินวัตร 2 ปี ต้องเป็นโมฆะ
เริ่มต้นการเจรจาด้วยการยืนเงื่อนไขที่ยอมรับได้ยาก แล้วจะถามหาความสมานฉันท์ได้อย่างไร
นี่แหละคือความจริงวันนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีสักวันที่ความต้องการของประชาชนในสังคมไทยจะเป็นจริง ผมเชื่อ 100% ครับวันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน ขอเพียงไม่ใจร้อน ไม่กดดันหัวใจและความรู้สึกของตัวเองจนหมกมุ่นนำเอาปัญหาสังคมมาเป็นปัญหาภายในบ้านหรือในครอบครัว
ถ้าเราไม่ท้อแท้ แต่ไม่ความมุ่งมั่นว่า สักวัน…สังคมสมานฉันท์จะคืนสู่คนไทย ฝันนั้นต้องเป็นจริงแน่
เรื่องนี้ผมไม่ได้เขียนพล่อยๆ เสกสรรปั้นแต่งเรื่องให้น่าอ่านหรือสวยหรู เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลฉลองวันคริสต์มาสหรอกนะ แต่ผมมีหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือว่า เรื่องยากๆ เกี่ยวกับการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคมไทย ที่รัฐบาลชุดเพียรพยายามกระทำ ทุกรัฐบาลบรรจุประเด็นนี้เป็นนโยบายและวาระของชาตินั้นไม่ได้มีลำพังเฉพาะหน่วยงานรัฐที่ระดมสรรพกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่หรือคิดสารพัดรูปแบบมารณรงค์ก่อการณ์เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า องค์กรเอกชน สถาบันต่างๆ ก็เล็งเห็นถึงปัญหานี้ และระดมความคิด ลงทุนลงแรง สร้างการมีส่วนร่วม หวังเห็นสังคมแห่งการปรองดองเกิดขึ้นโดยเร็ววันไม่น้อยหน้ากว่ากัน เพราะทุกฝ่ายตระหนักแล้วว่า เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจะมีความมั่นคง ประชาชนจะมีความสุขได้นั้น คนในชาติต้องรักและสามัคคีกันเหนืออื่นใด คนไทยรับรู้ด้วยหัวใจและเต็มสองหูแล้วว่า
ความสุขของ “ในหลวง” คือเห็นบ้านเมืองเป็นปกติสุข
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่า สักวัน…ความฝันอยากเห็นสังคมไทยมีความสมานฉันท์ปรองดองต้องเป็นจริงแน่ ก็คงไม่พ้นการดำเนินการระดมสมองอย่างต่อเนื่องของสถาบันเครือข่ายทางปัญญา หรือที่ประชุมปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทย ร่วมสร้างประเทศไทย เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ซึ่งมีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เป็นแม่งานใหญ่
เพราะภายใต้หลักคิด “สังคมไทยวิกฤตจนกระทั่งถึงเวลาและมีความจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง” ทำให้แกนนำในส่วนต่างๆ ในชาติ ทั้งนักวิชาการ แพทย์ พยาบาล อาจารย์ นักธุรกิจ ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ข้าราชการการเมือง ข้าราชการบำนาญ เกษตรกร ผู้นำชุมชน นักวิจัย นักการเงิน นักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย ฯลฯ พากันมารวมตัวกันเพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทย ซึ่งโจทย์ของการปรองดองสมานฉันท์ก็เป็นโจทย์ปัญหาลำดับต้นๆ
ผลงานวิจัยของ อ.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ จากการตั้งคำถามของหมอประเวศ วะสี ว่า “ฤาจะมีจุดคานงัดเพื่อนำไทยคืนสู่ความปรองดองและสมานฉันท์” ก็เป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักยืนยันได้ว่า ความพยายามในการหาสูตรเพื่อนำสังคมไทยคืนสู่ความสงบจะต้องประสบความสำเร็จสักวัน
แม้กระทั่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ ก็ไม่ลดละที่จะสาวให้ถึงแก่นของปัญหาว่า ปรากฏการณ์เสื้อเหลืองและเสื้อแดงในบ้านเรานั้นคืออะไรกันแน่ เพื่อที่จะใช้ยาให้ถูกสูตร สำหรับการรักษาเยียวยาจนสังคมไทยคืนสู่ภาวะที่พึงปรารถนา หรือมีหัวใจสีเดียวกัน
อย่างน้อยที่สุด การตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับการแตกแยกในสังคมไทย ว่ามีตัวแปรหลักตัวแปรรองอะไรบ้าง ด้วยรูปแบบที่เป็นวิชาการและมีการลงพื้นที่ในการทำวิจัย ไม่ใช่อาศัยแต่ประสบการณ์จากหอคอยงาช้าง หรือฟังเขาเล่ามา ก็ทำให้เรารับรู้ในเบื้องต้นแล้วว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของสีเหลืองกับสีแดง มิใช่ปัญหาใหญ่เท่ากับช่องว่างชนชั้น ที่เป็นต้นตอก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมวันนี้
เมื่อสีเหลือง สีแดง ต่างเป็นพลังที่ภักดีต่อชาติ ต่อสถาบัน ต่อประชาธิปไตย และล้วนเป็นพลังที่ปรารถนาให้ประเทศชาติพัฒนาอย่างยั่งยืน การทำให้ทั้งสองสีเป็นหนึ่งเดียวกันจึงไม่พ้นต้องมองหาหนทางลดช่องว่างระหว่างสีแดงกับสีเหลือง และดูเหมือนว่า ช่องว่างดังว่าจะต้องเป็นภาระหน้าที่ของ “คนไม่เลือกสี” หรือคนไม่มีสีที่เป็นประชากรส่วนใหญ่กว่า ต้องพยายามถมให้เต็ม หรือย่นระยะห่างให้เหลือน้อยที่สุด
มีข้อเสนอที่น่าสนใจในที่ประชุมปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะของคนไทย สำคัญว่า คนไทยจะต้องร่วมมือกัน
นั่นคือ เริ่มจากติดอาวุธทางปัญญาให้กับคนที่ยังไม่รู้เท่าทัน ปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่กับระบบอุปถัมภ์เสียจนไม่คิดจะแยกแยะระหว่างความถูกต้องเหมาะสมกับผลประโยชน์ส่วนตน
สรุปแล้วสรุปอีก ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็น “ปัญหาตัวแม่” ของระบบประชานิยม หากสามารถสลายลงได้ด้วยการสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน เพิ่มรายได้ ลดช่องว่างความจน โดยใช้การศึกษาและสร้างองค์ความรู้เป็นตัวนำร่อง เชื่อว่า สักวัน…สังคมไทยจะคืนสู่ภาวะปกติ
วันที่…ชาวบ้านไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
วันที่…ประชาธิปไตยไม่ถูกใช้เป็นตัวประกัน
เพราะคนไทยไม่ต้องฝืนทนก้มหน้าเลือก “เหลือบ” เป็นผู้แทนจากการ “ติดกับ” ระบบอุปถัมภ์อีกต่อไป วันนั้นแหละ…ฝันของเราจะเป็นจริงที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก…คอนเฟิร์มคร้าบ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 24-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์