สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย เดินหน้าโครงการ ”ห้องเรียนสู้ฝุ่น” ระยะที่ 2 มุ่งสร้างนโยบายรับมือวิกฤต PM2.5 พร้อมขยายผล 437 โรงเรียน ทั่ว กทม.

ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข

ภาพประกอบจาก สสส.

                    เด็กกรุงเทพฯ เตรียมนั่งเรียนไม่ต้องใส่แมสก์ สสส.–กทม. สานพลัง ภาคีเครือข่าย เดินหน้าขยายผล “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” 437 โรงเรียน สังกัด กทม. พัฒนาองค์ความรู้ สู่นโยบายสาธารณะ รับมือวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ในเมือง ปลื้ม 7 โรงเรียนต้นแบบ พัฒนานวัตกรรมสื่อการเรียนการสอน กล่องดักฝุ่น-หุ่นยนต์สู้ฝุ่น-บอร์ดเกม-งานศิลปะ ได้รับผลประเมินดีเลิศ

                    เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2567 ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า “ฝุ่น PM2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทุกช่วงวัย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยและเพิ่มโอกาสเป็นโรคไม่ติดต่อ (NCDs) โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และเด็ก จากข้อมูลการเฝ้าระวังปริมาณฝุ่น PM2.5 โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) พบ 50 เขตพื้นที่กรุงเทพฯ ช่วง ต.ค.-มี.ค. มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก 10-126 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยมีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากเหตุที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การจราจรขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม สสส. ได้สานพลัง กรุงเทพมหานคร (กทม.) และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระยะที่ 2 เพื่อส่งต่อแนวทางการจัดกิจกรรมเรียนรู้เพื่อเสริมทักษะให้แก่นักเรียน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 กระทบสุขภาพ มีโรงเรียนในสังกัด กทม. เข้าร่วม 437 โรงเรียน”

                    “โครงการห้องเรียนสู้ฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในระยะที่ 1 ได้สร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพในพื้นที่เสี่ยงผ่านการเรียนการสอนจากครูสู่เด็กและเยาวชน ใน 32 โรงเรียน ส่งต่อไปยังครอบครัว ชุมชน และสังคม ทำให้เกิดสถานศึกษาต้นแบบรับมือฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ได้รับผลการประเมินระดับดีเลิศ 7 โรงเรียน 1.โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ 2.โรงเรียนประชานิเวศน์ 3.โรงเรียนสุเหร่าใหม่ สำนักงานเขตสวนหลวง 4.โรงเรียนวัดวิมุตยาราม 5.โรงเรียนวัดราชบูรณะ 6.โรงเรียนวัดทองสัมฤทธิ์ 7.โรงเรียนวัดกันตทาราราม พัฒนานวัตกรรมระบบข้อมูล องค์ความรู้ และสื่อ เช่น กล่องดักฝุ่น หุ่นยนต์สู้ฝุ่น บอร์ดเกม งานศิลปะ ถือเป็นเครื่องมือในการขยายผลและสร้างกลไกที่เกี่ยวข้องระดับชุมชน และสังคม มุ่งเป้าสานพลังหน่วยงานและภาคีเครือข่ายในพื้นที่กรุงเทพฯ รับมือกับภัยจากฝุ่น PM2.5 ร่วมกัน” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

                    นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างถนน รถไฟฟ้า ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคน อากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต การจัดอบรมครั้งนี้ ถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบและเร่งด่วน เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนับสนุน ยกระดับองค์ความรู้สำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาด้านสุขภาพในพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาฝุ่น PM2.5 สร้างจิตสำนึกและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม สู่การผลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศให้เกิดประโยชน์สูงสุด บรรลุเป้าหมายกรุงเทพมีค่าฝุ่นละอองอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ภายในปี 2567 ทำให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป

                    ด.ช.ภาสวัฒน์ สุวรรณศรี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ กล่าวว่า ห้องเรียนสู้ฝุ่น สสส. ช่วยสร้างทักษะในการแก้ปัญหาจากฝุ่น PM2.5 ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4 -ป.6) ทำให้เกิดเป็นผลงานนวัตกรรมเครื่องดักฝุ่น ชื่อว่า “TN Dust trap box” โดยมีแนวคิด ดูด ดัก ดัน คือ เครื่องจะทำหน้าที่ดูดอากาศ ใช้น้ำดักฝุ่นให้ตกตะกอน ฟิลเตอร์ช่วยกรองฝุ่น และเครื่องจะดันอากาศที่บริสุทธิ์ออกมา ทำให้ห้องเรียนปลอดฝุ่น PM2.5 ล่าสุด เครื่องดักฝุ่นได้รับรางวัลชนะเลิศในหัวข้อนวัตกรรมเพื่อสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม จากโครงการประกวดผลงานนวัตกรรม GPAS 5 Steps Innovations Competition 2023 สำหรับเยาวชนผู้นำการเปลี่ยนแปลง จากสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์

Shares:
QR Code :
QR Code