สสส. สร้างครอบครัวจังหวัดน่านเข้มแข็ง
น้อมนำ “เศรษฐกิจพอเพียง” สู้กระแสโลกาภิวัตน์
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมสนับสนุน โครงการศูนย์การเรียนรู้เพื่อครอบครัวเข้มแข็งจังหวัดน่าน จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ถอดบทเรียนครอบครัวพอเพียง” ระหว่างกลุ่มแกนนำจากชุมชนต่างๆ กว่า 20 ชุมชน เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค้นหาวิธีการนำความพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในแต่ละครอบครัว เพื่อนำไปสู่การสร้างครอบครัวเข้มแข็ง ที่วัดอรัญญาวาส จังหวัดน่าน
นพ.คณิต ตันติศิริวิทย์ ประธานศูนย์การเรียนรู้เพื่อครอบครัวเข้มแข็ง จ.น่าน เล่าถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสถาบันครอบครัวของคนน่านว่า คล้ายคลึงจังหวัดอื่นๆ ทางภาคเหนือ เนื่องมาจากกระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันที่ทำให้หลายๆ ครอบครัวหันไปมองเรื่องของเศรษฐกิจเป็นประเด็นหลัก ซึ่งมองดูแต่ภายนอกเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่จริงๆ แล้วก็มีความเสี่ยงอยู่มาก
โดยเฉพาะเรื่องที่พ่อแม่ไม่มีโอกาสสั่งสอนเลี้ยงดูลูก หรือมีเวลาสอนลูกน้อยลง เพราะเศรษฐกิจรัดตัวทำให้ลืมว่า ต้องทำหน้าที่คอยสอนสั่งในสิ่งที่เป็นวิถี หรือแนวทางการดำรงชีวิตให้ลูกที่จะช่วยให้สามารถอยู่รอดในสังคมปัจจุบันได้
“คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวงของเราได้ตรัสไว้นั้น ส่วนหนึ่งก็คือการมีภูมิคุ้มกันหรือโอกาสที่จะรู้เท่าทันสังคม แต่ในปัจจุบันต้องถือว่าคนในสังคมของเรามีความรู้เท่าทันไม่เพียงพอ เพราะสิ่งเร้ารอบๆ ตัว ที่เข้ามาอย่างรวดเร็วและน่าสนใจ ไม่ว่าจะมาทางอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ หรือช่องทางอื่นๆ อย่างทีวีที่มีความรู้สารพัดอย่างทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน ถ้าลูกของเราโชคดีก็ได้รับสิ่งที่ดีไป แต่ถ้าโชคไม่ดีเขาก็จะได้รับแต่ค่านิยมที่ผิดๆ ในเรื่องของการบริโภคนิยมหรือวัตถุนิยมจากในทีวี” นพ.คณิต กล่าว
ด้านนายสำรวย ผัดผล ประธานมูลนิธิฮักเมืองน่าน กล่าวว่า หลังจากที่แต่ละชุมชนได้เรียนรู้ร่วมกันแล้ว จึงนำไปสู่การจัดการให้เกิดความพอเพียงในครอบครัว ซึ่งพบว่าการจัดการความรู้ของเราในวันนี้แต่ละชุมชน ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน แต่กลับมีผลที่เหมือนกัน เพราะคำว่าพอเพียงเป็นหลักการพื้นฐาน ถ้าเราไม่เริ่มจากครอบครัวก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
ความพอเพียงเป็นพื้นฐานของการจัดการตัวเอง เป็นพื้นฐานของการที่จะสื่อสารกันในระหว่างครอบครัว คำว่าพอเพียงมันมีนัยยะในเชิงตัวเลข บริหารจัดการ ปรัชญารวมอยู่ในนั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นกระแสพระราชดำรัสที่เราต้องน้อมนำมาปฏิบัติ
หากถามว่าการกระทำในระดับใดจึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง คำตอบคือ ต้องทำในระดับครอบครัวโดยไม่ต้องเรียกร้องอะไรจากใคร และเริ่มต้นที่ครอบครัว
นางสุภาพ สิริบรรสพ รองประธานโครงการ และนักวิชาการสาธารณสุข โรงพยาบาลน่านสรุปบทเรียนหลังจากที่แต่ละชุมชนได้นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ว่าจะได้องค์ความรู้ในการนำเอาหลักความพอเพียงไปใช้ในการจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตครอบครัวทั้งในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การจัดการสุขภาพ อาหารปลอดภัย การลดการใช้สารเคมี ฯลฯ ซึ่งเป็นการนำเอาหลักความพอเพียงเข้าไปปรับใช้ในกิจกรรมต่างๆ ตามบริบทของชุมชนนั้นๆ
“พื้นที่ที่เป็นชุมชนเมืองก็นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในเรื่องของการจัดการขยะและหมอกควันจากการเผาขยะ ในพื้นที่ที่เป็นสังคมเกษตรกรรมก็นำเข้าไปลดต้นทุนการผลิต เข้าไปสร้างเสริมในเรื่องของสุขภาพที่เกิดจากภาวะความเสี่ยง เช่น สารพิษตกค้างในร่างกาย แหล่งน้ำปนเปื้อนสารเคมี ลดต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
สิ่งเหล่านี้เราพบว่า การทำให้ชุมชนนั้นเข้มแข็งได้ ครอบครัวต้องเข้มแข็งก่อน แต่ครอบครัวจะเข้มแข็งโดยจะอาศัยเพียงแต่ประสบการณ์หรือความรู้ที่สืบต่อๆ กันมาเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความรู้สมัยใหม่เพิ่มเข้ามา
นั่นก็คือความรู้และภูมิคุ้มกันที่จะทำให้เรารู้เท่าทันโลกในกระแสโลกาภิวัตน์ ซึ่งถ้าเราแห่ไปตามกระแสบริโภคนิยม เราต้องหาเงินเพิ่มความต้องการของตนเอง โดยไม่ดูว่ามีศักยภาพที่ทำได้ขนาดไหน เพราะหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นก็คือ ความพอประมาณ สมเหตุสมผล และมีภูมิคุ้มกัน ถ้าคุณทำอะไรที่เกินพอดี คุณก็จะเป็นทุกข์
ดังนั้นครอบครัวจะเข้มแข็งก็จะต้องมีความรู้เท่าทันโลก เพราะสังคมของเรานั้นมันเป็นพลวัตมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเราไม่ตามโลกได้ทันตลอดเวลา แต่ความพอเพียงนั้นจะเป็นตัวที่เข้ามาช่วยถ่วงดุลและทำให้เรารู้ทัน ไม่ทำอะไรที่เกินตัว ซึ่งถ้าทำอะไรที่เกินตัวมันก็จะสร้างหนี้สร้างความทุกข์ให้กับตนเองและครอบครัว” นางสุภาพ กล่าว
“คำว่าไม่พอเพียงเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก การนำเอาความพอเพียงมาใช้ในกิจกรรมต่างๆ ช่วยดึงให้คนหันมาหาเวลาให้กับลูกหลาน และสอนให้เขาดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคง ครอบครัวจะเข้มแข็งได้ ถ้าทุกคนหันกลับมาตระหนักและให้ความสำคัญกับครอบครัวของตนเอง และมีเวลาให้กันและกันมากยิ่งขึ้น รวมถึงต้องมีกิจกรรมหรือเวทีทำให้พ่อแม่ลูกได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ซึ่งงานทั้งหมดจะสำเร็จได้เราต้องอาศัยภาคี ซึ่งภาคีในครอบครัวก็คือพ่อ-แม่-ลูก และที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องสร้างเครือข่าย จะต้องมีพ่อ-แม่-ลูกอีกหลายๆ ครอบครัวเข้ามาร่วมกันเป็นเครือข่ายที่จะช่วยกันขยายผลความเข้มแข็งจากภายในครอบครัวออกไปสู่ชุมชนและสู่สังคม” นพ.คณิต กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
update 29-01-52