สสส.กรมพัฒฯ ร่วมรณรงค์ลดปุ๋ยเคมี หวังปลุกกระแสเครือข่ายเกษตรอินทรีย์-ใช้สารเคมีให้น้อยลง
นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร รมช.เกษตรและสหกรณ์ เผยว่า รัฐบาลมีแนวคิดเปลี่ยนภาคการเกษตรแบบใช้สารเคมีให้เป็นเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดการใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีลง ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตรพบว่า ปริมาณการนำเข้าปุ๋ยเคมีของไทย ในปี 2550 อยู่ที่ 3.95 ล้านตัน มูลค่าสูงถึง 39,900 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และถือว่ามากเกินความจำเป็น ดังนั้นจึงมีนโยบายพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ขึ้นเพื่อลดภาระการนำเข้าสารเคมีและปุ๋ยเคมีลงกว่า 50% หรือไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และยังช่วยลดรายจ่ายทางสุขภาพ เพื่อสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนของคนไทย
ด้าน นายวิวัฒน์ วิกรานตโนรส ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 5 สสส. กล่าวว่า จากรายงานการสำรวจขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (fao) พบว่า ประเทศไทยมีเนื้อที่ทำการเกษตรมากเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่ใช้ยาฆ่าแมลงมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นอันดับ 4 ของโลก และนำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตรเป็นเงินถึงกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ผลของการใช้ยาฆ่าแมลง พบว่า ในแต่ละปีมีเกษตรกรไทยเสี่ยงต่ออัตราการเกิดโรคมะเร็งมากกว่ากลุ่มอาชีพอื่นๆ เนื่องจากยาฆ่าแมลงทำให้เกิดความเสียหายต่อระดับดีเอ็นเอ (dna) ในเนื้อเยื่อของร่างกาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
ดังนั้นการพัฒนาทางวิชาการ เพื่อส่งเสริมและสร้างเครือข่ายถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาเกษตรอินทรีย์จึงถือเป็นทางออกที่สำคัญของการสร้างสุขภาพในกลุ่มเกษตรกรไทย สสส. จึงได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านการเสริมสร้างเครือข่ายถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ เพื่อดำเนินการเรื่องดังกล่าวกับกรมพัฒนาที่ดิน
นายวิวัฒน์กล่าวอีกว่า สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะเน้นมุ่งเน้นการรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้สังคมตระหนักและเห็นความสำคัญถึงการเปลี่ยนระบบการผลิตภาคการเกษตรเคมี เป็นระบบเกษตรที่ลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งการสร้างเครือข่ายเกษตรกรที่ทำการผลิตอาหารปลอดภัย ซึ่งเป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านอาหารและสุขภาพของผู้ผลิตผู้บริโภค และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตร ทั้งนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการร่วมกัน ประกอบด้วย ผู้แทนจาก สสส. ผู้แทนจากกระทรวงเกษตรฯ เพื่อกำหนดแผน นโยบาย และประสานการทำงานในระยะเวลา 5 ปี
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
update : 22-10-51