สร้างสุขคนไทย เริ่มต้นได้ด้วยสุขภาพใจที่แข็งแรง
เรื่องโดย : พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th
ข้อมูลจาก : งาน Better Mind Better Bangkok ณ สามย่านมิตรทาวน์ 8 ต.ค. 2566
ภาพโดย ฐิติชญา สัมปุรณะพันธุ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
“…สังคมไทยมักไม่ทันสถานการณ์เรื่องสุขภาพจิต กว่าจะมองเห็นปัญหา ก็ตอนที่ปัญหาได้เกิดขึ้นมาแล้ว…”
ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในช่วงพิธีเปิดงาน Better Mind Better Bangkok ณ สามย่านมิตรทาวน์
ข้อมูลข้างต้น ชี้ชัดว่าไทยกำลังเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิตอย่างร้ายแรง ซึ่งสามารถส่งผลกระทบทางสังคมที่ร้ายแรงในอนาคตได้ ผลการวิจัย “อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576” โดยกรมสุขภาพจิต ระบุชี้ชัดว่า ร้อยละ 17.6 ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย ในทุก 2 ชั่วโมงประเทศไทยจะสูญเสียประชากร 1 คน จากการจบชีวิตตัวเอง ทั้งยังพบผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพจิต-ซึมเศร้า เพิ่มขึ้น 1-2 % พบการฆ่าตัวตายสำเร็จต่อปีกว่า 4,625 คน (ปี พ.ศ. 2564-2565)
จากการมองเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ สสส. และภาคีเครือข่ายฯ จึงร่วมสานพลังรณรงค์วันสุขภาพจิตโลก เพื่อตระหนักรู้ถึงปัญหาที่ร้ายแรงนี้ ณ งาน Better Mind Better Bangkok 2023 ที่จัดขึ้น ณ สามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา
ดังนั้น การสร้างเสริมสุขภาพจิตจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แต่คนไทยมักมองสุขภาพจิตเป็นแค่เรื่องของจิตใจเพียงอย่างเดียว ซึ่งในความเป็นจริงยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นองค์ประกอบ อาทิ ความเครียดและปัญหาระหว่างวันที่แก้ไขไม่ได้ หลายเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ หลายคนมีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากขึ้น เกิดความท้อแท้ หมดหวัง
“ หากเราปล่อยให้ความรู้สึกอยู่กับเรานานเกินไป ก็อาจเกิดความเครียดสะสม กลายเป็นภัยเงียบ ที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ เมื่อใดรู้สึกเครียดเรื้อรังจึงไม่ควรละเลย เพราะอาจพัฒนาเป็นปัญหาสุขภาพจิต” เป็นมุมมองของ นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส.
“ดังนั้น ต้องยอมรับว่าจิตเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ เพราะจะช่วยทำให้เรามีพละกำลัง มีการจัดการชีวิตที่มีคุณภาพ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความหวัง ทุกคนควรต้องหมั่นสำรวจจิตใจตนเอง ต้องไม่ทำสุขภาพจิตให้เป็นเรื่องไกลตัว ต้องช่วยกันส่งเสริมการทำงานสร้างเสริมสุขภาพจิต เพื่อการดูแลคุณภาพชีวิตให้ประชาชนมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น” ผศ.ดร.ทวิดา กล่าว
สอดรับกับแนวคิดด้านความยั่งยืนทางสุขภาพจิต ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต กล่าวถึงปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เกิดการสร้างเสริมและรักษาสุขภาวะทางจิตบนฐานความต้องการของสังคมและผู้คนในปัจจุบัน คือ การสื่อสารเชิงบวก การเข้าถึงที่ดีขึ้น สร้างภูมิคุ้มกัน และ พื้นที่ปลอดภัย
ในเวทีเสวนาสื่อสารเชิงบวก ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า “มีคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน ขณะที่ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ระบุว่าผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.3 ล้านคนในปี 2564 ภารกิจสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตเป็นสิ่งที่ สสส. ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย สสส. เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิตด้วยองค์ความรู้ นวัตกรรมด้านจิตวิทยาเชิงบวก ร่วมด้วยการผลักดันนโยบาย การสื่อสารสร้างความรู้ด้านสุขภาพจิตให้ประชาชนทุกวัยมีความเข้าใจ เข้มแข็ง และทักษะการจัดการรับมือกับอารมณ์ ปัญหาความเครียดได้”
กิจกรรมที่ สสส.จัดขึ้น ต้องการสื่อสารผ่านการประยุกต์ใช้จิตวิทยาเชิงบวก สร้างความสุข คุณภาพชีวิต โดยมุ่งเน้นที่ ความเห็นอกเห็นใจ, การมองโลกในแง่ดี, การล้มแล้วลุกไว และลดการตีตราผู้มีปัญหาสุขภาพจิต ในกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยทำงาน ที่ครองสัดส่วนปัญหาด้านสุขภาพจิตสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ มีทั้งกิจกรรมสร้างประสบการณ์ ผลิตงานเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ และกิจกรรมกลุ่มในรูปแบบที่หลากหลายสร้างความรู้ความเข้าใจด้านอารมณ์ แนะแนวทางป้องกันและดูแลตนเอง มุ่งเสริมภูมิคุ้มใจ ฟื้นฟูภาวะเครียดสะสมของคนไทยให้ดีขึ้น
อีกทั้งรวบรวมองค์ความรู้สื่อสาร และความร่วมมือจากสื่อ อาทิ นักเขียน ผู้ผลิตละคร อินฟลูเอนเซอร์ นักสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างคอนเทนต์ แนะแนวทางการสื่อสารเชิงบวกกับสังคม ให้เกิดการเท่าทันความรู้สึกและสติ บอกความรู้สึกตนเอง ชื่นชมให้เกียรติกัน รับฟัง เข้าใจ ไม่ตัดสิน และค้นหาทางออกร่วมกัน” ดร.ชาติวุฒิ กล่าวถึงแนวทางส่งเสริมการสื่อสารเชิงบวกให้กับสังคม
นอกจากนี้ ภายในกิจกรรม ยังมีบุคคลสร้างแรงบันดาลใจร่วมพูดคุยมากมาย อาทิ คุณรัศมีแข ฟอเกอร์ลุนด์ฟ ดารานักแสดงชื่อดัง ได้กล่าวถึงการผลักดันพื้นที่ปลอดภัยว่า “ข่าวสารในสังคม เป็นเรื่องของเราทุกคน รับรู้ได้ แต่ต้องไม่คล้อยตามไปกับมัน เพื่อให้รู้ว่าโลกนี้มีคนที่หลากหลาย เราควบคุมใครไม่ได้ แต่เราต้องรู้ว่าจะใช้ชีวิตกับคนบนโลกที่หลากหลายอย่างไรให้ปลอดภัย”
คุณอแมนด้า ออบดัม นักแสดงและนางงามชื่อดัง ได้กล่าวในหัวข้อสร้างภูมิคุ้มกัน ว่า “เรามีสิทธิ์ที่จะล้มได้ แต่ต้องลุกให้เป็น ต้องคิดว่าการล้มไม่เท่ากับล้มเหลว มันเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ต้องใจดีกับตัวเองให้มาก ๆ ไม่นำสิ่งรอบตัวมากดดันและบั่นทอนตน ให้กำลังใจตนเองด้วยการเปลี่ยนคำพูด เช่น “ทำไมทำได้แค่นี้” ลองเปลี่ยนเป็น “ทำได้เท่านี้ก็เก่งแล้ว” การเปลี่ยนแปลงเริ่มที่ตัวเรา ถ้าทำทุกคน การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้”
คุณเขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ ศิลปินและนักจิตบำบัดชื่อดัง กล่าวปิดท้ายว่า “ไม่มีความรู้สึกไหนที่อยู่กับเราตลอดไป ทุกความรู้สึกเข้ามาแล้วก็ออกไป ถ้าเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ เพราะเดี๋ยวมันก็มาอีก ความรู้สึกดี ๆ ก็เช่นกัน ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แค่รับรู้ว่าเป็นความสุขก็พอ ทุกคนล้วนมีพื้นที่ปลอดภัยเป็นของตนเอง แต่ต้องหาให้เจอ เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าจะเจอที่ไหน เมื่อไหร่ พื้นที่ปลอดภัย ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น หรือเปลี่ยนเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่เป็นที่รับฟังเราได้ในแบบที่เราเป็น”
สสส. มุ่งเน้นสร้างเสริมองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิตให้กับทุกคน นำไปสู่การสร้างสุขภาวะทางจิตที่ดี หนึ่งในพื้นฐานสำคัญของสุขภาวะดี 4 มิติ เพื่อป้องกันและลดปัญหาด้านสุขภาพจิตในสังคมไทย และให้ทุกคนบนแผ่นดินไทยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข