สร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งเด็กไทยนักดื่ม
เหตุเข้าถึงอบายมุขง่าย
ผลวิจัยมากมายชี้ตรงกันว่า เด็กไทยที่ทดลองดื่มเหล้ามีอายุน้อยลงเรื่อยๆ และที่น่ากลัวคือ มีเด็กลองดื่มเหล้าตั้งแต่ 7 ปีเท่านั้น และยังพบว่าเด็กไปซื้อด้วยตัวเอง โดยที่ผู้ขายยอมขายทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดกฎหมาย วันนี้คงไม่มีเด็กคนไหนปฏิเสธว่าไม่รู้จักเหล้าปั่น เบียร์ปั่น สินค้าอินเทรนด์ของยุคนี้ เยาวชนรู้จักเป็นอย่างดีจากโฆษณา สื่อตามร้านอาหาร เห็นกับตา เด็กบางคนถูกใช้ไปซื้อ บางคนเคยดื่มแล้ว เพราะคิดว่าเหล้าปั่นไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะร้านเหล้านี้มักอยู่ในชุมชน ไม่ห่างจากโรงเรียน หรืออยู่รวมกับร้านขายน้ำหวาน น้ำผลไม้ ทำให้เด็กเข้าถึงได้ไม่ยาก
ปัญหาที่เกิดขึ้นนอกจากสะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ได้ผล ทำให้ไม่สามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายแล้ว ยังสะท้อนถึงสภาพปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบันที่บั่นทอนการพัฒนาเยาวชนไทย
“กระบวนการสื่อสารกระตุ้นให้เด็กซื้อ เด็กๆ เป็นเป้าหมายหลักของภาคการผลิตที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม แม้เขาจะหาเงินเองไม่ได้ แต่สามารถขอเงินพ่อแม่มาซื้อ ขณะที่เด็กบางกลุ่มมีทัศนคติผิดๆ ในการใช้ชีวิต หาเงินในทางที่ผิด ลักขโมยนำเงินไปซื้อเหล้า เบียร์ สินค้าแบรนด์เนม” เกื้อ แก้วเกต ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเยาวชน (YPDC) และผู้เชี่ยวชาญประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคม กิจการเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เผยถึงปัญหาเยาวชน
นอกจากลัทธิบริโภคนิยมที่แผ่ขยายและฝังรากลึกในสังคมไทยแล้ว อาจารย์เกื้อกล่าวอีกว่า ทุกวันนี้สังคมเพศวิปริตไม่มีตัวอย่างที่ดีในสังคม มีแต่ปัญหาความขัดแย้ง ขาดผู้มีคุณธรรมและจริยธรรมอันเป็นต้นแบบที่ดี ขณะเดียวกันสื่อทำผิดให้เป็นถูก อย่างโฆษณาเหล้า ที่ชวนให้เชื่อว่าการดื่มเหล้าเป็นการสร้างมิตรและเป็นที่ยอมรับของสังคม เด็กๆ ซึมซับพฤติกรรมเหล่านี้ผ่านสื่อ คิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อีกประการที่ยับยั้งการพัฒนาของเด็ก คือ ยาเสพติดโรคร้ายแรง ปัจจุบันสถานการณ์กลับมารุนแรง แถมราคาก็แพงยิ่งขึ้น มีการสำรวจพบว่าวัยหนุ่มสาวซึ่งเป็นวัยทำงานที่ทำผิดกฎหมาย ประมาณ 80% เป็นข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพและผู้ค้า ประเทศของเราสูญเสียทรัพยากรกำลังสำคัญไปมาก เยาวชนเหล่านี้ต้องโทษนาน 20-50 ปี
ความรุนแรงที่รุกคืบสู่สังคม เป็นอีกประเด็นที่ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเยาวชนวิตกกังวลมาก โดยอาจารย์ระบุว่า เด็กลองดื่มเหล้าตั้งแต่อายุยังน้อยและมีเด็กติดเหล้าเพิ่มขึ้น เมื่อเมาขาดสติก็กระทำความผิดในรูปแบบต่างๆ บ้างก็ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ทะเลาะวิวาท นอกจากนั้น เด็กยังซึมซับความรุนแรงผ่านสื่อทีวี หนัง เห็นภาพเหล่านี้จนเคยชิน สั่งสมความรุนแรงและแสดงออกในครอบครัวเมื่อเติบโตขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นอบายมุข 108 ซึ่งก็รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สถานบริการ ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ ร้านเหล้าปั่น อยู่ทุกหัวระแหง เด็กๆ เข้าถึงได้ง่าย ชักชวนกันให้ดื่ม ก็เสี่ยงที่จะเสียคน เพราะพ่อแม่ก็ไม่มีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูก มัวแต่ทำมาหากิน
อาจารย์เกื้อกล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหา พร้อมกับพัฒนาเยาวชนให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพว่า ต้องให้ความสำคัญด้านกฎหมาย บังคับใช้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กรวมกลุ่มกันจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ บ้านเรายังขาดกิจกรรมแบบนี้ พ่อแม่ส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ เห็นว่าการรวมกลุ่มทำกิจกรรมเป็นเรื่องไร้สาระ จะเน้นแต่ด้านวิชาการแก่ลูกๆ ทั้งที่นี่คือวิธีหนึ่งในการพัฒนาเยาวชน ทำให้พวกเขาหลบเลี่ยงเหล้าอบายมุข ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
“เด็กๆ เรียนรู้ถึงการแสดงออก เมื่อเกิดความขัดแย้งได้เรียนรู้การแก้ปัญหา หากผิดพลาดก็เรียนรู้ถึงความรับผิดชอบ นี่เป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อชีวิต เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก ซึ่งต้องทำตั้งแต่เด็กลืมตาดูโลก เด็กแรกเกิดถึง 6 ปี ซึมซับทุกอย่างเพื่อสร้างบุคลิกภาพ วัยเรียน 7-12 ปี เรียนรู้ทุกอย่างที่ขวางหน้า เข้าสู่วัยรุ่น 13-18 ปี มีความอยากรู้อยากเห็น ความเปลี่ยนแปลงทางเพศ จนอายุ 19-24 ปี เตรียมตัวก่อนเป็นผู้ใหญ่ ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชน บูรณาการการทำงานเรื่องเด็ก เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้รู้เท่าทัน ยับยั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สำหรับการสร้างกิจกรรมเรียนรู้ หน่วยงานหลักๆ ที่รับผิดชอบ ทั้ง ศธ. พม. สธ. ต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ดึงองค์กรพัฒนาเอกชนมาช่วยประสานงานและชักชวนภาคธุรกิจเข้ามามีบทบาท ที่ขาดไม่ได้คือ การมีส่วนร่วมของเยาวชน” อาจารย์เกื้อ ผู้ทำงานด้านเด็กมาอย่างต่อเนื่องกล่าวในท้ายที่สุด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 11-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์