สร้างผู้ให้ในกองทุนรักบ้านเกิด

เติมน้ำใจช่วยเหลือผู้ยากไร้

สร้างผู้ให้ในกองทุนรักบ้านเกิด 

          เราได้เรียนรู้กลเม็ดในการสร้างองค์กรแห่งความสุขในแบบฉบับของบริษัทเอเซีย พรีซิชั่นกันไปแล้วบ้างแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังมีนโยบายอีกไม่น้อยที่ใช้ในการปั้นองค์กร ให้เป็นที่รักของบรรดาพนักงาน และเป็นหนึ่งในต้นแบบองค์กรแห่งความสุขที่แผนงานสุขภาวะองค์กรภาคเอกชน (สสส.) ยกนิ้วให้

 

          อย่างเช่นเรื่องราวของ “กองทุนรักบ้านเกิด” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่บริษัทใช้ปลูกฝังให้พนักงานรู้จัก “การให้” โดยใช้เงินงบประมาณของบริษัทเอง แต่ให้พนักงานเป็นผู้เลือก และตัดสินใจว่า เงินจากกองทุนนี้จะถูกนำไปใช้ประโยชน์กับหน่วยงาน หรือชุมชนใดบ้าง

 

          แน่นอนว่าในสังคมของเราทุกวันนี้ เรื่องราวการบำเพ็ญประโยชน์และตอบแทนสิ่งดี ๆ คืนกลับสู่ชุมชนแวดล้อม เป็นนโยบายหรูที่ยืนเคียงคู่องค์กรชั้นนำในบ้านเรา การที่พนักงานได้เห็นผู้บริหารของบริษัทยืนรับโล่รางวัล หรือใบประกาศเกียรติคุณที่พวกเขาได้บริจาคเงินบ้าง สิ่งของบ้าน ให้แก่ผู้ที่ยากไร้ คงเป็นเรื่องที่สร้างความภูมิใจให้กับพนักงานในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งหน่วยขององค์กรนั้น ๆ แต่ผู้บริหารของบริษัทเอเชีย พรีซิชั่น มองในมุมกลับกันว่า หากเราผลักดันให้พนักงานเป็นผู้ให้ได้เอง เขาจะได้เรียนรู้คุณค่าของ “การให้” มากกว่าที่จะมองผ่านกรอบรูป หรือภาพข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์

 

          โครงการกองทุนรักบ้านเกิดจึงเกิดขึ้น โดยเป็นการตั้งเงินสนับสนุนกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม กองทุนละ 3,000 บาท เพื่อให้พนักงานได้เลือกว่า เขาจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชน หรือต่อสังคมใกล้ตัวเขาได้อย่างไรบ้าง พวกเขาจะต้องเขียนโครงการ ลงพื้นที่สำรวจในสิ่งที่สังคมนั้น ๆ กำลังขาดแคลน และรายงานให้ผู้บังคับบัญชารวมไปถึงผู้ที่จะอนุมัติเงินก้อนดังกล่าวได้ทราบว่า เงินจำนวนนี้จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร

 

          เงินก้อนนี้นั้นเป็นเงินของบริษัทที่ถูกจัดสรรจากผลกำไรส่วนหนึ่งเอาไว้สร้างประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชน พนักงานมีหน้าที่ที่จะ “ใช้” เงินก้อนนี้ เท่านั้นเอง

 

          พนักงานคนหนึ่งเกิดปิ๊งไอเดียที่จะซื้อหนังสือบริจาคให้กับห้องสมุดของโรงเรียนที่เคยศึกษามาก่อน โดยเธอเห็นว่า โรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดารยังขาดแคลนอุปกรณ์การศึกษา และการอ่านเองก็เป็นสิ่งที่ควรรณรงค์ส่งเสริมให้เด็กไทยรุ่นใหม่เกิดความรัก และมีใจอยากจะศึกษาค้นคว้า

 

          เธอเข้าพบคุณครูประจำห้องสมุด และเริ่มเขียนโครงการส่งเข้ามายังผู้บริหารกองทุนรักบ้านเกิด แม้ว่าเงินเพียง 3,000 บาท ที่เธอได้รับในที่สุดนั้นจะไม่มากนัก แต่สิ่งที่เธอได้กลับมาคือความอิ่มเอิบใจ

 

          “น้อง ๆ จะได้ใช้เวลาว่างให้มีประโยชน์ เพราะสมัยก่อนที่เราเรียนหนังสือ เราก็ไม่รู้ว่าเวลาว่าง ๆ เราจะทำอะไร และพอเรานำหนังสือไปมอบให้ที่โรงเรียนก็ดีใจว่าเราไม่ลืมที่ที่เราเคยศึกษาเล่าเรียนมา”

 

          เสียงเจื้อยแจ้วขอบคุณจากน้อง ๆ เด็กนักเรียนที่โรงเรียน สร้างรอยยิ้ม และความอิ่มเอิบใจให้กับพนักงานคนดังกล่าวไม่น้อย

 

          ในขณะที่พนักงานคนอื่นที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนในแง่อื่น ๆ ก็ถึงกับเอ่ยปากว่า ชาวบ้านแปลกใจว่ามีบริษัทแบบนี้อยู่จริง ๆ ด้วยหรือ?

 

          “พนักงานได้สัมผัสจริง ๆ ว่าความสุขจากการให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนเป็นอย่างไร และเป็นการให้ที่เขาได้มอบให้กับท้องถิ่นที่เขามีความผูกพัน และที่สำคัญที่สุด มันทำให้เขาได้เรียนรู้กับคำว่า ความกตัญญูต่อแผ่นดิน แผ่ดินเล็ก ๆ ที่เขาเกิดมา”

 

          ในขณะที่พนักงานเองก็ยอมรับว่า โรงงานเป็นเสมือนครอบครัว ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สถานที่ทำงานเท่านั้น การปลูกฝังให้พนักงานรู้จักการให้และกลับมาสู่ชุมชนบ้านเกิดในฐานะผู้ให้บ้าง จากน้ำพักน้ำแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกเขาลงพื้นที่สำรวจ และเขียนโครงงาน พวกเขามองตัวเองใหม่อย่างมีคุณค่าในฐานะผู้ให้ มิใช่เพียงพนักงานกินเงินเดือนเพียงวัน ๆ เท่านั้น

 

          เพียงเท่านี้ ใจของบรรดาพนักงานก็มีแต่ความสุข นำมาซึ่งความสุขในการทำงาน สร้างผลประกอบการ และชิ้นงานที่มีคุณภาพกลายเป็นบ้านหลังที่สองของพวกเขา และนี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างขององค์กรแสนสุขตามแบบฉบับของ happy workplace อย่างแท้จริง

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

 

update: 21-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: อภิชัย วรสิทธิ์ขจร

 

Shares:
QR Code :
QR Code