ศูนย์แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
เรื่องที่จะบอกเล่าเก้าสิบกันในวันนี้ในความรู้สึกของผู้เขียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพื้นที่ซึ่งเน้นบอกว่าเป็นจังหวัดระยองอันเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอันกล่าวได้ว่าเป็นศูนย์รวมโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศแหล่งหนึ่ง เป็นที่รวมของสรรพชีวิตผู้คนจำนวนมาก เป็นที่รวมของความเจริญด้านวัตถุ เป็นที่รวมความชั่วร้ายต่อทั้งสภาพร่างกาย จิตใจผู้คนสัตว์ สิ่งของ กระทั่งสภาพแวดล้อมได้ถ้าไม่ดูแลเอาใจใส่ป้องกันเอาไว้ล่วงหน้าพื้นที่ดังกล่าวจึงน่าจะเป็นพื้นที่ก่อให้เกิดทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายได้ทั้งสิ้น
นั่นก็คือ “ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศของ จ.ระยอง เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในพื้นที่ จ.ระยอง”
ถามว่าเรื่องอย่างนี้เพิ่งเกิดหรือ ไม่ใช่แน่นอน ชาวบ้านและคนไทยตระหนักถึงมานานไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชาติบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นผลกระทบอันเกิดจากมลภาวะสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะกายใจตั้งแต่ทางรัฐบาลคิดที่จะสร้างนิคม มีการรณรงค์เรื่องอย่างนี้มาต่อเนื่องจนถึงวันนี้ที่เกิดนิคมอุตสาหกรรมใหญ่โตทั้งที่มาบตาพุดและอีกหลายแห่งก็ยังแทบจะไม่เห็นการสอดรับเรื่องการแก้การป้องกันจากทางการอย่างชัดเจน
มีหลายภาคส่วนเคลื่อนไหวเรื่องนี้ขึ้นเป็นรูปธรรมถึงขั้นมีการลงนามเป็นข้อตกลง โดยแผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทยเพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันจัดพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในเขตพื้นที่มาบตาพุด”
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการแผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทยเพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประธานลงนามกล่าวว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตรายองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เทศบาลเมืองมาบตาพุด และเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกเพื่อร่วมมือกันดำเนินโครงการ วิจัยทางวิชาการร่วมกับภาคประชาชน ร่วมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมาบตาพุดและพื้นที่โดยรอบ และจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพภาคประชาชน เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลของมาบตาพุดที่เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาค้นหาหรือใช้ประโยชน์ได้
“มาบตาพุดเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรม เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ทั้งกายและใจควรได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน เพื่อให้ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน และสิ่งแวดล้อมที่ดี สามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ ปัจจุบันการพัฒนาอุตสาหกรรมไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างผลกระทบให้แก่ชุมชน ถือเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญ เชื่อว่าการลงนามครั้งนี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม” ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.อรุณี อินทรไพโรจน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลต่างๆ ในพื้นที่มาบตาพุดไม่มีหน่วยงานกลางที่ดูแลและรวบรวมข้อมูลทั้งหมดทำให้ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เกิดประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์ เบื้องต้นการทำงานภายใต้ข้อตกลงนี้ จะเน้นหนักที่การรวบรวมผลการศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐเอกชน ภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่มาบตาพุด ทั้งลักษณะกายภาพของชุมชนลักษณะอุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ภายหลังการรวบรวมผลการศึกษาต่างๆ จัดทำเป็นข้อมูลสารสนเทศของมาบตาพุด และบรรจุข้อมูลอยู่ในแผนที่ดาวเทียมเพื่อระบุตำแหน่งและเฝ้าระวังระดับปัญหาที่จะกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อมโดยข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่มีหลายภาคส่วนร่วมกันทำงาน ทั้งนี้ จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยความระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้เกิดส่วนได้ส่วนเสียกับกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยมีหลักการคือ ถือความถูกต้องเป็นหลัก
รศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรแลกเปลี่ยนว่า ประชาชนมาบตาพุดไม่ได้มีปัญหากับการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่มีปัญหากับการรุกรานสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมข้ามชาติที่ละเลยการใช้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ดี การทำงานจะไม่ใช้วิธีเพ่งเล็งหาคนผิด แต่เป็นการเฝ้าระวังและหาความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งแวดล้อมเช่น การเปลี่ยนแปลงของไส้เดือนที่บ่อขยะหอย ปลาในทะเล กบ คางคก ที่แสดงให้เห็นถึงสารพิษใกล้ชุมชน ฯลฯ
ผู้เขียนขอเพิ่มอีกนิดหนึ่งนั่นคือประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนความโลภส่วนตน ส่วนกลุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเดินคู่กันไปได้โดยความชั่วร้ายไม่มีทางแทรกเข้ามาครอบงำพื้นที่ สุขภาพกายใจและสภาพแวดล้อมที่ดีของสรรพชีวิตก็ไม่กระทบดังสภาพปัจจุบัน
ศูนย์ฯ ที่กำลังเกิดนี่จะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาในอนาคตอันใกล้ครับ
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
Update: 16-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน