วิทยุเพื่อเด็กและเยาวชน จ.เลย
ที่นี่มีเรื่องดีๆให้ฟังทุกวัน เพียงคุณหมุนมา
“ให้คุณฟัง ฟังอะไรที่หลากหลายเพื่อผ่อนคลาย ไม่แหนงใจเพราะตรงนี้มีเรื่องที่ดีที่รอคอย เปิดมาฟังที่คลื่นนี้ เรารอคุณตรงนี้ ที่นี่ไง”
เสียงจิงเกิ้ลที่ดัดแปลงมาจากเพลง “ทำอะไรซักอย่าง” ของศิลปิน “ป้าง-นครินทร์ กิ่งศักดิ์” เป็นหนึ่งในจิงเกิ้ลที่ถูกหยิบมาเปิดในระหว่างการสลับสับเปลี่ยนรายการของสถานีวิทยุเด็กและเยาวชน จ. เลย สถานีวิทยุชุมชนที่มีจุดเริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่า “เด็กๆ คือเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง ที่ไม่ควรถูกทำลายจากสภาพแวดล้อมและสังคม” จากข้อกล่าวหาที่สังคมยัดเยียดให้เด็กๆ ว่า “เกเร ก้าวร้าว ชอบมั่วสุม” เป็นจุดเริ่มต้นให้กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีในจังหวัดเลย ซึ่งมีความเชื่อว่า “เด็กทุกคนเริ่มต้นจากการเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี แต่สิ่งแวดล้อมและสถานการณ์สังคมมีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงเด็กและเยาวชน” มาตั้งวงและช่วยกันค้นหาว่า อะไรคือสาเหตุของปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า ปัจจัยหลักที่มีผลต่อพฤติกรรมที่เด็กและเยาวชนที่เปลี่ยนแปลงไปคือ “สื่อ” โดยเฉพาะวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เมื่อสื่อเป็นสาเหตุให้เด็กเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ค่อยดี สื่อก็น่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการชักจูงให้เด็ก (รวมถึงผู้ใหญ่ด้วย) กลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิม เป็นจุดเริ่มต้นให้กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีในจังหวัดเลย ลุกขึ้นมา “ทำอะไรซักอย่าง” โดยเริ่มต้นจากการทำรายการวิทยุวันละหนึ่งชั่วโมงในช่วงแรกเริ่ม ประจวบเหมาะกับการเกิดขึ้นของ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งบทบัญญัติในมาตรา 26 ระบุว่าต้องจัดให้ประชาชนได้ใช้คลื่นความถี่ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบ “สถานีวิทยุชุมชน จ.เลย” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2547 ก่อนพัฒนาเป็น “สถานีวิทยุเด็กและเยาวชน จ.เลย” ในปัจจุบัน
“เวทีแห่งความคิด เวทีแห่งความฝัน เวทีที่สร้างพลังให้กับเด็กๆ วิทยุเด็กและเยาวชน เปิดโอกาสให้เด็กๆ ทุกคนร่วมสานฝันอันงดงาม”
สปอร์ตประจำสถานีที่ดังขึ้นทุกครั้งที่เปลี่ยนรายการเป็นการตอกย้ำและผลิตซ้ำความคิดให้กับคนทำงานได้ตระหนักถึงหัวใจสำคัญของสถานี คือ การเปิด “พื้นที่สาธารณะ” ให้ทุกคน ซึ่งแม้ว่าจะเน้นที่เด็กและเยาวชนเป็นหลัก แต่ก็ไม่ปิดโอกาสสำหรับผู้ใหญ่ที่ใส่ใจกับเด็กๆ และสังคม จากรายการวิทยุวันละหนึ่งชั่วดมง ในช่วงกลางปี 2546 กลุ่มเด็กๆ ได้ช่วยกันจัดรายการวิทยุแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ จากจังหวัดอื่น ในรูปแบบของวิทยุออนไลน์ จนมาถึงช่วงต้นปี 2547 เมื่อผู้ใหญ่ใจดีในจังหวัดเลย ร่วมกันจัดตั้งและทดลองออกอากาศสถานีวิทยุชุมชนในเขตอำเภอเมือง จ.เลย เด็กและเยาวชนในเขตอำเภอเมือง จึงเป็นกลุ่มแรกที่สมัครเข้ามาเป็นอาสาสมัครนักจัดรายการ
อรญา โสธรรมมงคล หรือพี่ป้อง ผู้ใหญ่ใจดีที่ปรึกษาของสถานี หรือแม่คนที่สองของเด็กๆ เล่าให้ฟังว่าในช่วงแรกคนทั่วไปก็ยังไม่เข้าใจว่าวิทยุชุมชนคืออะไร และจะมีส่วนในการพัฒนาเด็กและเยาวชนได้อย่างไร แต่หลังจากทำงานมาระยะหนึ่ง กลุ่มผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ปกครอง ก็เริ่มเข้าใจและให้ความสนับสนุนมากขึ้น “เมื่อก่อน ตอนเย็นหลังเลิกเรียน เด็กๆ จะเข้าร้านเกมส์ หรือขี่รถเที่ยวเล่นเลาะไปเลาะมา บางบ้านพ่อแม่จะติดทำงาน เช่น ขายของอยู่ กลับถึงบ้านสองสามทุ่มไม่เห็นลูกก็เป็นห่วง จะไปตามก็ไม่รู้ว่าลูกอยู่ร้านเกมส์ร้านไหนกันแน่ เพราะมันมีหลายร้านเหลือเกิน”
อรญาเล่าต่อไปว่า ช่วงแรกที่เด็กๆ เริ่มเข้ามาจัดรายการ พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจจนถึงเกือบๆ จะไม่ไว้วางใจ ถึงกับตามมาดูที่สถานีกันเลยทีเดียว แต่พอมาเห็นว่าเด็กๆ ทำอะไรกันบ้าง พ่อแม่ก็สบายใจ และให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นขนมข้าวต้ม ผลไม้เงินบริจาคหรือช่วยอะไรที่ช่วยได้ “การที่เด็กๆ มาจัดรายการที่สถานี ทำให้พ่อแม่มั่นใจว่าลูกไม่ได้ไปทำอะไรที่น่าเป็นห่วง แม่ของน้องบางคนบอกลูกเลยว่าให้มาที่สถานีหลังเลิกเรียน ลูกจัดรายการเขาก็เปิดฟังไปเรื่อยๆ พอทำงานเสร็จก็มารับกลับบ้าน” จากการมารวมตัวกันก่อการ (ดี) ด้วยการจัดรายการวิทยุของเด็กและเยาวชน ทำให้กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีในจังหวัดเลยเห็นดีด้วยที่จะให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมดีๆ ที่ช่วยพัฒนาอนาคตของชาติตัวน้อยๆ นำมาสู่การปรับตัวจากสถานีวิทยุชุมชน เป็นสถานีสำหรับเด็กและเยาวชนเต็มตัว
สถานีวิทยุเด็กและเยาวชน จ. เลย ดำเนินงานภายใต้แนวคิด “เด็กบริหาร เด็กผลิตรายการ” กล่าวคือ ผู้อำนวยการสถานีตลอดจนผู้จัดรายการ (ส่วนใหญ่) เป็นเด็กและเยาวชน โดยรักษาการผู้อำนวยการสถานีคนปัจจุบัน คือ น.ส. แสงระวี ดาปะ อายุ 20 ปี ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในชั้น ปวส. ปี 1 วิทยาลัยอาชีวะศึกษาจังหวัดเลย ส่วนผู้จัดรายการที่อายุน้อยที่สุด คือ ด.ญ.กมลรัตน์ ประคองหรือน้องฝ้าย และด.ช.รัชฏะ ทั่งทอง หรือน้องฟิล์ม ซึ่งกำลังเรียนชั้น ป.5 และ ป.6 ที่โรงเรียนเมืองเลย สถานีวิทยุเด็กและเยาวชน จ.เลย เป็น “สถานีวิทยุชุมชน” ในรูปแบบชุมชนเชิงประเด็น ยึดหลักการสร้างสื่อสารสองทางระหว่างคนในพื้นที่ ออกอากาศในระยะที่คนไปมาหาสู่กันได้ คือภายในบริเวณอำเภอเมือง จ.เลย เป็นหลัก โดยออกอากาศด้วยเครื่องส่งขนาด 5 วัตต์ ในช่วงแรกเริ่ม ก่อนจะขยายกำลังส่งเป็น 30 วัตต์ ในปัจจุบัน
แม้จะใช้ชื่อว่าวิทยุเด็กและเยาวชน แต่เป้าหมายในการทำงานของสถานีฯ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เด็กและเยาวชนเท่านั้น หากยังเน้นการสร้างความเข้าใจระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ รวมถึงการเป็นพื้นที่สาธารณะนำเสนอเรื่องราว สะท้อนปัญหา และการแสวงหาทางออกในประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของคนเมืองเลยอีกด้วย จากจุดเริ่มต้นที่เครื่องส่งขนาด 5 วัตต์ และเสาส่งไม้ไผ่ จนมาเป็นสถานีวิทยุเด็กและเยาวชนจังหวัดเลยในวันนี้ มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นและต้องผ่านไปให้ได้มากมาย หากเหตุการณ์สำคัญที่เป็น “จุดเปลี่ยน” ของสถานี เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว ในช่วงที่สถานีเป็นที่นิยมหรือเรียกได้ว่าติดตลาดสุดๆ
ในเวลานั้นสถานีฯ มีเด็กและเยาวชนอาสามาช่วยจัดรายการมากกว่า 40 คน เรียกได้ว่าล้นห้องส่งแทบระเบิดกันเลยทีเดียว หากแต่ช่วงเวลาดังกล่าว ก็เป็นช่วงสับสนที่สุดเช่นกันเพราะเด็กๆ ส่วนใหญ่ จัดรายการตามแบบสถานีทั่วไป ซึ่งอรญาเรียกว่าเป็น “สถานีจ๊ะจ๋า” คือโทรมาขอเพลงให้โรงเรียนนั้น ส่งความรักให้โรงเรียนนี้ เรียกได้ว่ามีแต่เพลงทั้งวัน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาสู่การตั้งคำถามว่า วิทยุเด็กและเยาวชนต่างกับสถานีธุรกิจทั่วไปอย่างไร สถานีที่เปิดเพลงทั้งวันจะเรียกว่าเป็นวิทยุเด็กและเยาวชนหรือวิทยุชุมชนได้จริงหรือ และนั่นนำมาซึ่งการปรับตัวครั้งใหญ่ของสถานี
“ตอนนั้นเราใช้วิธีจัดค่าย ทำความเข้าใจเรื่องวิทยุชุมชนให้กับเด็กๆ แล้วตั้งคำถามกับเขาว่า ถ้าจะทำสถานีที่เหมือนๆ กับสถานีอื่น ถ้าอย่างนั้นเปิดฟังเอาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีสถานีเพิ่มอีกหนึ่งสถานี โดยที่เนื้อหาไม่มีความแตกต่างจากสถานีที่มีอยู่แล้ว”
หลังกลับจากค่าย จึงเกิดเป็นข้อตกลงในการจัดรายการของสถานี ซึ่งไม่ได้ห้ามไม่ให้มีการขอเพลงเลย (เพราะคงไม่เป็นจริง!!!) แต่กำหนดว่าแต่ละรายการจะเปิดได้ไม่เกินกี่เพลงต่อชั่วโมง รวมถึงแนวทางการจัดรายการที่ต้องได้สัดส่วนระหว่างสาระและบันเทิง
อรญาเล่าต่อไปถึงการทำงานของเด็กๆ ว่าสถานีฯ ใช้ระบบพี่สอนน้อง คนที่โตกว่าจะดูแลน้อง ซึ่งไม่เพียงเฉพาะเรื่องการจัดรายการแต่รวมไปถึงเรื่องของการปฏิบัติตัวอีกด้วย จะมีบางครั้งที่น้องๆ จะหรอยไปเที่ยว ไปร้านเกมส์ พี่ๆ ก็จะแอบตามไปดูว่าไปกันร้านไหน แล้วไปลากตัวกลับมา” พี่ป้องของน้องๆ เล่าแกมหัวเราะ โดยเน้นเสียงคำว่า “ลากตัวกลับมา” เพื่อให้เห็นภาพการดูแลน้องๆ ของพี่ๆ ที่สถานี อรญาบอกว่า สำหรับเธอแล้ว วิทยุเด็กฯ ไม่ใช่แค่การมาจัดรายการเสร็จแล้วจบ แต่เป็นเครื่องมือเพื่อการพัฒนาและการดูแลกันเองของเด็กๆ ซึ่งสอดคล้องกับวัยที่ต้องการพื้นที่และการยอมรับจากคนรอบตัว ซึ่งรายการที่ผลิตออกมาจะสะท้อนมุมมองและความคิดของเด็กๆ ให้ผู้ใหญ่ได้รู้ และเข้าใจเกิดเป็นการเชื่อมประสานคนสองวัยเข้าด้วยกัน
จากปี 2547 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่เด็กและเยาวชนในอำเภอเมือง จ.เลย รุ่นแล้วรุ่นเล่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา “ก่อการดี” ผ่านการทำรายการดีๆ เพื่อคนทุกวัยใน จ.เลย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้วิทยุชุมชนแห่งนี้ยังดำรงอยู่ได้ ไม่เพียงเพราะเด็กและเยาวชนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแข็งขัน หรือเพราะมีผู้ใหญ่ที่เข้าใจ ให้โอกาส และพร้อมสนับสนุน แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตระหนักเสมอว่า วิทยุชุมชนแห่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่วิทยุชุมชนเท่านั้น แต่ที่นี่คือบ้านหลังที่สอง ที่ให้ความอบอุ่นให้ความรัก กำลังใจ และที่สำคัญคือ ให้โอกาสกับทุกคน โอกาสที่ได้รับ ทำให้เด็กและเยาวชนตระหนักว่า เป็นหน้าที่ของตนที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ดีๆ ที่ตัวเองได้รับกลับสู่สังคม เหมือนดังสปอร์ตของสถานี ที่เปิดทุกวันเพื่อย้ำเตือนทุกคนถึงพันธกิจที่ละเลยไม่ได้ของสถานีที่ว่า
“ที่นี่มีเรื่องดีๆ ให้คุณได้ฟังทุกวัน เพียงคุณหมุนมาที่ความถี่ เอฟเอ็ม 108 เมกกะเฮิร์ตซ์ ออกอากาศ 16.00-21.00 น. ทุกวันที่สถานีวิทยุเด็กและเยาวชน จ.เลย”
ที่มา : งอกงาม จุลสารแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเด็กและเยาวชน (สสย.) ประจำเดือนมีนาคม 2553
update: 26-04-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร