วิถีพระโมคคัลลานะ กับวิกฤตโควิด-19
ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์
แฟ้มภาพ
สถานการณ์ระบาดของไวรัสร้ายโควิด-19 ต้องยอมรับสัจธรรมข้อหนึ่งว่า คนในสังคมต่างมีความกังวลใจ กลัวว่าการติดเชื้อจะเกิดกับตัวเองหรือคนในครอบครัว ซึ่งสร้างความตระหนกให้จิตใจไม่น้อย หลายคนต้องหันกลับมาพึ่งพาธรรมะ เป็นที่ยึดเหนี่ยว สร้างสติให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นแสงสว่าง ส่องนำทางแก้ไขกับปัญหา ทั้งวิกฤตสุขภาพ เศรษฐกิจ และจิตใจ
เนื่องในโอกาสที่ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดดำเนินการครบรอบ 70 ปี และก้าวเข้าปีที่ 71 ด้วยความตั้งมั่นแห่งศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมจึงได้จัดกิจกรรมบรรยายธรรมหัวข้อ “เอตทัคคะและพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา” ซึ่งจะจัดทั้งสิ้น 5 ครั้งตลอดปีนี้ โดยหยิบยกเรื่องราวของอริยสาวกมาเล่าเป็นแบบอย่าง ชี้แนวทางชีวิตให้กับคนในสังคม
นางมรกต ศรีแสงนาม ประธานโครงการเอตทัคคะและพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา กล่าวว่า การบรรยายธรรมเอตทัคคะและพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา เพื่อปลูกศรัทธาที่ถูกต้องแก่สาธุชน ให้สาธุชนมีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ประวัติและปฏิปทาอันเป็นแบบอย่างที่ดี อีกทั้งเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม “การฟังธรรมตามกาล” ของคนในครอบครัวทุกช่วงวัย ให้ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน และนำธรรมจริยาในระดับศีล สมาธิ และปัญญา มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตให้งดงาม พบความสำเร็จอันจะทำให้เกิดความรักและสามัคคี ความร่มเย็นเป็นสุขของคนในครอบครัวและสังคมสืบไป
นางมรกต บอกว่า คำว่า “เอตทัคคะ” แปลว่า ที่สุด ประเสริฐ ความยอดเยี่ยมยิ่ง ความเป็นเลิศ ความชำนาญเฉพาะ ซึ่งในพระพุทธศาสนา หมายถึง ผู้เป็นยอดในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกย่อง ประทานแต่งตั้งให้พุทธบริษัท 4 เฉพาะบุคคลที่พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งเพียงรูปเดียว คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา ผู้มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมในด้านนั้นๆ ทั้งหมด 74 ท่าน ดังนั้น ผู้รับฟังจะได้รับอรรถประโยชน์อย่างยิ่งในการน้อมนำธรรมจริยา จากเนื้อหาประวัติและปฏิปทาของพระอริยสาวก ไปปรับใช้เพื่อดำเนินชีวิตในการดับทุกข์และเจริญอริยมรรค เพื่อพบสันติสุข
นางมรกต กล่าวว่า โครงการได้คัดเลือกเรื่องราวขององค์เอตทัคคะและพระอริยสาวก 11 องค์ คือ พระมหาโมคคัลลานะ พระปุณณ-มันตานีบุตร พระรัฐบาลเถระ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ พระอานนท์ พระสีวลี พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี พระปฏาจาราเถรี อนาบิณฑิกะเศรษฐี นางสุชาดา และพระยสเถระ พระอรหันตสาวกองค์ที่ 6 ของพระพุทธศาสนา
“การจัดงานครั้งนี้ สมาคมได้รับความร่วมมือและความอุปถัมภ์จากกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดธรรมบรรยายประวัติและปฏิปทาพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนา จำนวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 1เรื่อง พระโมคคัลลานะ ‘ผู้เป็นเลิศในด้านผู้มีฤทธิ์มาก’ บรรยาธรรมโดย พระเมธีวชิรโสภณ (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งชีวประวัติของเหล่าพระอริยสาวกในพระพุทธศาสนาเป็นชีวิตที่น่าศึกษา และสามารถเรียนรู้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ในการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันที่ต้องการแบบอย่างที่ดี” นางมรกต กล่าว
นางมรกต กล่าวอีกว่า ทุกวันนี้เยาวชนก้าวเข้ามาสู่เส้นทางธรรมะยากขึ้น เพราะไม่มีแรงจูงใจ ประวัติเรื่องราวธรรมะในพระพุทธศาสนาเขียนจากตำรา แต่ไม่เชื่อมโยงชีวิตประจำวัน เด็กมีคนต้นแบบเป็นตัวอย่าง มีไลฟ์สไตล์อยู่กับแหล่งข้อมูลออนไลน์ ขณะเดียวกัน สังคมไทยเป็นเมืองพุทธ ควรมีต้นแบบเพื่อพัฒนากาย ใจ ประวัติคนไทยในพุทธกาลเมื่อ 2,500 ปี
“ก็เหมือนเรา ที่มีความหลากหลาย จริต รสนิยมที่แตกต่าง มีการดำเนินชีวิตที่จะต้องพิสูจน์ว่า ธรรมะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราดำเนินชีวิตด้วยเส้นทางสายกลางปฏิบัติในชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น พระราหุลเถระผู้เป็นเลิศด้านใคร่ศึกษา คือ เจ้าชายราหุลทรงเป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้า ทรงวางพระองค์ด้วยความนอบน้อม ทรงใฝ่เรียน มีความกตัญญู อยากให้เยาวชนเรียนรู้บทบาทที่เหมาะสม นางวิสาขา ผู้เป็นเลิศด้านการถวายทาน มีความสวย รวยและชอบทำบุญ เมื่อแต่งงานก็แห่กันทั้งเมือง เมื่อปฏิบัติธรรมะก็มีข้อคิดการเป็นสะใภ้จะต้องวางตัวอย่างไร เมื่อฟังแล้วเกิดแรงบันดาลใจ นำมาซึ่งการรับใช้ชีวิตเพื่อสังคมเกิดความสงบสุข ปีติในชีวิต” นางมรกต ระบุ
ด้าน พระเมธีวชิรโสภณ (ประนอม ธมฺมาลงฺกาโร) กล่าวบรรยายธรรมชีวประวัติ “พระโมคคัลลานะ” ว่า พระโมคคัลลานะ ก่อนได้รับพยากรณ์ว่าจะได้รับความเป็นเลิศด้านมีฤทธิ์มาก เมื่อครั้งที่เป็นพญานาค “วรุณนาคราช” ซึ่งโดยธรรมชาติของพญานาค หากไม่ได้ทำอะไร ก็จะเกิดอาการง่วงและหลับใหล แต่ในทางเดียวกันนั้น การทำอะไรด้วยความจริงจัง ก็เกิดความง่วงอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะทำงานหนัก ทำสมาธิหนัก เจริญสมาธิหนัก ก็ส่งผลต่อความง่วง ดังนั้น เราต้องหาเหตุปัจจัยที่ทำให้ง่วง
พระเมธีวชิรโสภณ กล่าวว่า สำหรับพระโมคคัลลานะเหตุปัจจัยที่ทำให้ง่วง คือ ท่านเคยเกิดเป็นพญานาค เป็นผู้ทำสมาธิมาก และท่านมีความขยันมากร่างกาย จึงอ่อนเพลีย ซึ่งต่อมาส่งผลให้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ มีสิ่งเร้าเข้ามารบกวน
“พระพุทธองค์จึงให้อุบายแก้ง่วง 8 ประการ ประกอบด้วย 1.สัญญา จดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อคิดถึงเรื่องใดอยู่ก็ให้คิดถึงเรื่องนั้นให้มาก 2.ตรึกตรองสัญญาทบทวนสิ่งนั้น 3.รับรู้ความสว่างยามกลางวัน 4.ชำระใบหน้าด้วยน้ำสะอาด 5.นำขนไก่มาแยงหู 6.เดินจงกรมไปข้างหน้า 7.เดินจงกรมถอยหลัง และวิธีสุดท้าย 8.นอนพักผ่อน ด้วยสีหไสยาสน์ ท่าตะแคงขวา เท้าซ้ายทับเท้าขวา นอนอย่างมีสติว่า ‘หากเราพักผ่อนเพียงพอแล้ว เราจะตื่นขึ้นมาทำความเพียรทันที’ นอนโดยการกำหนดสติ สมาธิทำงานเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะได้คือ ความง่วงจะหายไป” พระเมธีวชิรโสภณ กล่าวและว่า
ครั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระโมคคัลลานะได้เป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดา ในการดำเนินกิจการต่างๆ ตามที่พระองค์ทรงดำริให้สำเร็จ เพราะท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก จึงได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระบรมศาสดาว่า “เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์” และทรงยกย่องว่าเป็นคู่พระอัครสาวกคู่กันกับพระสารีบุตร ในการอุปการะภิกษุผู้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัย
พระเมธีวชิรโสภณ กล่าวว่า ข้อคิดธรรมนำใจจากชีวประวัติพระโมคคัลลานะ ทำให้เราเห็นถึงปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหา เพื่อจะทำให้เราเห็นทางออกมากที่สุด ด้วยการหาต้นตอปัญหาก่อนจะหาทางออก เหมือนกับที่เราง่วง ก็ต้องหาสาเหตุก่อนว่า ง่วงเกิดจากอะไร ถ้าเกิดจากการพักผ่อนไม่พอ ก็แก้ปัญหาตามอาการ ด้วยการพักผ่อนอย่างมีสติ เพื่อให้เกิดสมาธิและปัญญา
“พระโมคคัลลานะ สร้างเหตุปัจจัยเพื่อให้ท่านมีอิทธิฤทธิ์ ซึ่งทำให้เราเห็นหลายอย่าง สำคัญที่สุดคือ อิทธิฤทธิ์ทางใจ แม้ฟังธรรมไปแล้ว อาจจะจำประวัติของท่านไม่ได้ทั้งหมด แต่เราต้องรู้ถึงเหตุปัจจัยของพระโมคคัลลานะ ผู้มีฤทธิ์มาก เพื่อให้เกิดกำลังใจ และหากเราอยากเป็นเลิศด้านไหน ก็ให้ศึกษาชีวประวัติของเอตทัคคะด้านนั้น ดูว่าท่านสร้างเหตุปัจจัยอะไรถึงได้ผลนี้ต้องถามใจเราดูว่า เราอยากเป็นเลิศด้านไหน เพื่อตั้งเป้าหมายและไปให้ถึง” พระเมธีวชิรโสภณ กล่าว
การฟังธรรม ปฏิบัติชอบ เพียรทำความดี การยึดนำหลักปฏิบัติที่ไม่สร้างความทุกข์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เกิดความเห็นใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่สังคมไทย และสากลโลกต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะภาวะวิกฤตสุขภาพที่ถาโถม “พระโมคคัลลานะ” จึงเป็นอีกหนึ่งแบบอย่างในการดำรงชีวิต ที่เผชิญกับปัญหา การรับทราบสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้สมาธิพินิจหาวิธีแก้ไข หาหนทางอย่างมีสติ ก็ทำให้เราเจอทางออกของปัญหานั้น ลงมือทำ ฝ่าฟันให้ผ่านพ้นไปอย่างผู้มีปัญญา