วาระแห่งชาติ สู่หลักประกันสังคมสูงอายุ
ที่มา : ไทยโพสต์
พ.ศ.2574 ประเทศไทยจะมีตัวเลขผู้สูงอายุแตะที่ 28 เปอร์เซ็นต์ หรือเรียกว่า สังคมสูงวัยระดับสุด Super Aged Society ซึ่งนับเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่สังคมไทยต้องร่วมกันหยิบยก พูดคุยเพื่อเตรียมการ รับมือกับสถานการณ์ในวันข้างหน้าที่กำลังไล่หลังเรามาติดๆ โดยล่าสุดมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีขับเคลื่อนนโยบายเพื่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งภายในงานมีการเสวนา "ระบบการดูแลระยะกลาง : ความจำเป็นสำหรับอนาคตสังคมไทย" ซึ่งถือเป็นข้อต่อสำคัญในระบบการดูแลสุขภาพ
ทั้งนี้ Intermediate Care หรือระบบการดูและระยะกลาง คือการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการผ่านพ้นวิกฤติ แต่มีอาการคงที่และยังมีความบกพร่องทางร่างกายบางส่วน ที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ โดยทีมสหวิชาชีพในช่วงเวลาสำคัญช่วงแรกในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อลดความพิการหรือภาวะทุพพลภาพตลอดชีวิตหรือเป็นผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ซึ่งการทำงานในระดับพื้นที่ เช่น ที่โรงพยาบาลลำสนธิ จ.ลพบุรี ถือเป็นโมเดลสำคัญในการจัดระบบการบริการระยะกลางของผู้ป่วย แทนที่จะรอตั้งรับที่จะดูแลระยะยาว แต่พัฒนาการทำงานดูแลรักษา มีการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลักดันจนกลายเป็นนโยบายประเทศ โดย นพ.สันติ ลาภเบญจกุล ระบุว่า คุณค่าของการดูแลในระยะกลางคือ การที่ผู้ป่วยได้รับบริการดูแลอย่างดีแล้วฟื้นกลับมา ซึ่งการดูแลต้องทำต่อเนื่องอย่างเข้มข้นและมีศักยภาพ อันถือว่าการดูแลระยะนี้มีความสำคัญมาก
โมเดล "ลำสนธิ-สมุทรปราการ"ระบบดูแลระยะกลางตามบริบทพื้นที่"เราได้ดูแลหลายเคส ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้พัฒนา และวางระบบควบคู่ไปกับความร่วมมือในการดูแลที่บ้านทำงานร่วมกับ อบต. อสม. ซึ่งกระบวนการกายภาพต้องเข้าในช่วงต้นๆ ปัญหาที่สำคัญคือการดูแลจัดระบบการดูแลระยะกลาง ไม่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งมีการทำแบบรวมๆ ในการดูแล ระยะกลาง ระยะยาว แต่เราค้นพบว่า เมื่อวัตถุประสงค์ในการดูแลต่างกัน การออกแบบการดูแลก็เป็นคนละเรื่องกันมีรูปแบบ ระบบการดูแลไม่เหมือนกัน เช่น ในกระบวนการดูแลที่ รพ.ลำสนธิ และ รพ.ท่าวุ้ง ซึ่งประสบการณ์ที่ทำงานมาสามารถระบุได้ว่า ระบบการดูแลแบบ Intermediate Care สามารถทำได้โดยมีต้นทุนในจังหวัด ทุกพื้นที่สามารถทำได้หมด เพราะมีทรัพยากรใกล้เคียงกันหมด เพียงแต่ต้องมีทีมงานและจับมือกับท้องถิ่น เพื่อผลักดัน ขับเคลื่อนและพัฒนาโปรเจ็กต์ให้เข้มข้น และต้องจัดระบบการดูแลแบบ Intermediate Care โดยอยู่บนความจำเป็นและความต้องการของประชาชน"
ขณะที่ นพ.ภานุวิชญ์ แก้วกำจรชัย ระบุว่า การดีไซน์ระบบการดูแลจะต้องมีความหลากหลายในแต่ละพื้นที่ เช่น ที่ จ.สมุทรปราการ สำหรับโรงพยาบาลที่พร้อมก็สามารถรับผู้ป่วยไว้ดูแลในโรงพยาบาลได้ แต่ส่วนใหญ่ก็นอนโรงพยาบาลไม่ได้ และเมื่อผู้ป่วยกลับบ้านก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าได้รับการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ จนสุดท้ายก็กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงติดบ้านในที่สุด
"จังหวัดสมุทรปราการมูฟทั้งจังหวัด คือทั้งในเขตเมืองและนอกเขตเมือง โดยมีนักกายภาพบำบัดลงไปช่วย พร้อมทั้งผู้บริบาล หรือผู้ช่วยนักกายภาพในชุมชน ซึ่งได้มีการอบรมผู้ช่วยนักกายภาพจากการคัดเลือกมาจาก อสม.ในหมู่บ้าน ซึ่งระบบ Intermediate Care ต้องมีบริบทกับพื้นที่ให้เหมาะสม และการขยายนอกโรงพยาบาลต้องมีมาตรฐานในการดูแล ขณะที่เดียวกันในการดูแลก็ต้องมีการดูในเรื่องภาคสังคมด้วยอาหาร การปรับปรุงบ้านเรือน ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปตั้งแต่เป็นการดูแลผู้ป่วยระยะกลาง"
6 เดือน "เวลาทองของชีวิต"สิทธิต้องรู้ระบบดูแลระยะกลางขณะที่ นพ.ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย ระบุว่า มีความสับสน ก้ำกึ่ง ปนเป ในการให้บริการ ทั้งระบบการดูแลระยะกลาง หรือบางครั้งเป็นระยะยาว โดยเมื่อเจ็บป่วยหากไม่หายปกติจะมีผู้ป่วยที่ส่งผลทุพพลภาพมากน้อยต่างกัน ซึ่งจากการศึกษาในจำนวนนี้มีเป็นผู้ชายเสี่ยงกว่า โดยสูงถึง 60% ผู้หญิง 39% ผู้สูงอายุ 54% และไม่ใช่ผู้สูงอายุ 46% ซึ่งเรามีระบบดูแลในผู้สูงอายุ แต่อีกส่วนหนึ่งไม่ใช่ และถ้าไม่ทำอะไร คนกลุ่มนี้ก็จะไปสู่ป่วยติดบ้านติดเตียง โดยมีเวลาทองอยู่ที่ 6 เดือน หากได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพก็จะสามารถฟื้นได้ จากนั่งรถเข็นสู่การเดินได้ นี่คือระบบการดูแลระยะกลาง
ปัญหาที่พบ คนไข้หลุดจากระบบกลับไปบ้านโดยไม่ได้รับบริการอะไร นี่คือปัญหาสำคัญ คือการหลุดออกจากระบบบริการ แล้ว กลายเป็นติดบ้านติดเตียงในอนาคต สำหรับในกรณีของ รพ.บางกล่ำ ซึ่งเป็นอีกโมเดลต้นแบบพบน้อย เพราะมีคนเชื่อมต่อระบบ คือแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งการดูแลระยะกลาง ต้องการวิชาชีพในการดูแล เพราะมีระยะเวลาแค่ 6 เดือน ที่ไม่ใช่เรื่องลองผิดลองถูก โดยต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ เพื่อวางแผนระบบการบริการ ซึ่งประกอบด้วย 1.นักกายภาพบำบัด 2.นักกิจกรรมบำบัด 3.นักอรรถบำบัด (นักแก้ไขการพูด) 4.การพยาบาลทั่วไป ซึ่งการจัดบริการ Intermediate Care ต้องครอบคลุม 4 โรค 1.โรคหลอดเลือดสมอง Stroke 2.การบาด เจ็บที่กระดูกสันหลัง สมองบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ 3.กระดูกสะโพกหัก ผู้ป่วยหลังผ่าตัด เช่น ศัลยกรรมกระดูก ซึ่งต้องได้รับการดูแลในระบบอย่างแน่นอน และ 4ผู้ป่วยแผลเรื้อรัง
"จุดสำคัญที่สุดไม่ใช่ที่ รพ.มีเตียงแอดมิต Intermediate Care ให้มีเตียง 2 เตียง แต่กระทรวง สธ.ต้องประกาศนโยบายใหม่ก็คือ คนไข้ที่ต้องได้ Intermediate Care ทุกคนต้องได้รับชั่วโมงการกายภาพบำบัดและกิจกรรมการกายภาพบำบัดรวมกันไม่น้อย 10-15 ชั่วโมง ภายในโกลเดนพีเรียด 6 เดือน นี่คือหัวใจสำคัญที่คนไทยต้องรับรู้ว่า หากเป็นโรคกลุ่มพวกนี้ คุณมีสิทธิ์ได้รับชั่วโมงกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูตัวคุณเองไม่น้อยกว่า 10-15 ชั่วโมง แต่บางรายอาจไปถึง 20 ชม."
นพ.ขวัญประชาระบุว่า นี่คือความคุ้มค่า เพราะโรคไม่ได้เป็นแค่คนสูงอายุอย่างเดียว มันรวมถึงวัยหนุ่มสาว ซึ่งหากไม่พิการ แล้วหลายคนกลับมาทำงานได้ เช่น กรณีคุณพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง จะกลับมากำกับละครได้แล้ว เขาเข้าถึงบริการ มีนักกายภาพดูแลที่บ้าน สามารถสู้ได้เต็มที่ เนื่องจากมีเงิน ซึ่งก็ทำให้สามารถดีขึ้นได้อีก ถ้าทำให้คนหนึ่งคนจากการเป็นสโตรก กลับมาทำงานได้ สังคมควรลงทุน ควรอย่างที่สุด แพงเท่าไหร่ก็ควรจะซื้อ เพราะถ้าไปสู่ป่วยระยะยาว ติดบ้านติดเตียง ภาระวันละเท่าไหร่ ซื้อคุณภาพชีวิต จ่ายแพงขึ้น แต่ชาวบ้านได้มีเวลามากขึ้น เขาจ่ายน้อยลง เขาไปทำงานได้ ซึ่งการรับคนไข้ไว้ใน รพ. เหมาะสำหรับชนบท เป็นโมเดลที่เหมาะมาก ทุก รพ.ควรจะทำเช่นนี้ ขณะที่สังคมเมืองต้องใช้โมเดลแบบอื่น ซึ่งต้องยอมลงทุน ร่วมกับท้องถิ่น เชิญชวนท้องถิ่นลงทุนทำคลินิกกายภาพบำบัด หรือจ่ายเงินเพื่อทำที่ รพ.สต. และกระทรวง สธ.ต้องมีนโยบายใหม่ปรับ เน้นการให้บริการร่วมระหว่างรัฐเอกชน
"เรากำลังก้าวสู่สังคมอายุ อนาคตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดที่ประเทศไทยต้องพัฒนาระบบ Intermediate Care ให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนเพิ่ม คุ้มแน่นอน เพราะในระยะยาว ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องมีงบประมาณในส่วนของการดูแลในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การใส่งบประมาณเพิ่มในการระบบการดูแลระยะกลางจะช่วยลดงบประมาณ Long term care ในอนาคต ไม่แค่นั้น มันจะนำมาซึ่งจีดีพีของประเทศ การใช้งบประมาณ 2,500 ล้านบาทตรงนี้"
"วาระแห่งชาติ" หลักประกัน "สังคมสูงอายุ"ปชช.ร่วมด้วยช่วยกันดูแลอย่างเป็นระบบขณะเดียวกัน ในเวทีมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนที่หลากหลายจากผู้เข้าร่วม ได้มีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุไทย เกี่ยวกับระบบการดูแลรักษาพยาบาลผู้สูงอายุตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 3 เช่น ในนโยบายด้านกฎหมาย ควรมีการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อระบบการดูแลรักษาพยาบาล โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการบริบาลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง พ.ศ… เนื่องจากกฎหมายที่บังคับอยู่ในปัจจุบัน เช่น พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.46 ไม่เหมาะสมที่จะนำมาปรับใช้ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งขาดมาตรการทางกฎหมายที่จำเป็นในการกำกับดูแล
รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระยะยาว
ด้าน Long term care Insurance โดยการสนับสนุนให้องค์กรปกครองท้องถิ่นร่วมกันพัฒนาบริการดูแลผู้ป่วยที่บ้านโดยคนในชุมชน เพราะการเริ่มต้นพัฒนาบริการ Community base long term care ที่ให้ประชาชนในชุมชนช่วยกันดูแลกันเอง โดยมีการจ้างงานอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น 6 พันบาทต่อเดือน เป็นการเริ่มต้นที่เหมาะสมสำหรับเศรษฐกิจและสังคมไทย ซึ่งหากมีงบประมาณร่วมจ่ายระหว่าง อปท.กับ สปสช. และมีการประกาศระเบียบของกระทรวงมหาดไทย เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายค่าตอบแทนแก่อาสาสมัครบริบาล จะทำการดูแลในระยะยาวมีคุณภาพดีขึ้น โดยอาจต้องใช้จ่ายมากกว่า 5 พันล้านบาท โดยแต่เดิม สปสช.กำหนดงบประมาณส่วนนี้ไว้ที่จำนวน 916.8 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2562
นอกจากนี้ ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ยังระบุถึงข้อเสนอนโยบายการจัดตั้งกองทุนดูแลผู้ป่วยระยะยาวที่ต้องการดูแลอย่างเต็มเวลา ซึ่งจากผลวิจัยอาจต้องใช้เงินหลักหมื่นล้านบาทในการพัฒนาดูแลเต็มเวลา มีความจำเป็น โดยได้นำเสนอที่มาเงินในการในการจ่าย Long term care เช่น 1.เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 7.5% 2.เก็บภาษีคนอายุ 40-60 ปี 3.เก็บจากเบี้ยผู้สูงอายุ 12 ล้านคน 50 บาทต่อเดือน จะได้รายได้ปีละ 7 พันล้าน สามารถเงินในการดูแลกองทุนดูแลได้ระดับหนึ่ง และ 4.Co payment ระบบร่วมจ่าย
เรื่องนี้ควรเป็นวาระแห่งชาติ เสนอให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เปิดเวทีเชิญนักวิชาการมาให้ข้อมูลประชาชน เพื่อมาร่วมมาถกเถียงว่าประชาชนต้องการจ่ายเงินหรือไม่ เพื่อให้เกิดการจัดตั้งกองทุนดูแลในระยะยาว ซึ่งต้องช่วยกันพูดเสียงดังๆ ความจำเป็นในสังคมสูงอายุที่จะต้องร่วมกันสนับสนุน ต้องดึงประชาชนมาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้ตระหนักว่าสังคมสูงอายุนั้นมาพร้อมราคา แต่ราคานั้นมาพร้อมคุณภาพ ถ้าต้องการให้การดูแลผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ มีคุณภาพ ไม่ตามมีตามเกิด มีราคาที่เราต้องช่วยกันจ่าย แต่การจ่ายแบบนี้คือการร่วมด้วยช่วยกันจ่าย ให้คนที่เขาวันหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่มีญาติพี่น้องจะได้มีการดูแล ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ สังคมสูงอายุ ไม่มีใครยอมจ่าย ให้รัฐจ่ายฝ่ายเดียว สังคมสูงอายุในอนาคตอันใกล้ก็คงกระท่อนกระแท่นพอสมควร