‘ลงทุน’ ปิด ‘จุดอ่อน’ สร้างความปลอดภัยทางถนนที่ยั่งยืน
ที่มา : มติชน
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
พอใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาล หรือวันหยุดยาวทีไร เรามักจะได้ยินคำว่า "7 วันอันตราย" แทบทุกครั้งเพราะเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดนั่นเอง
ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ประจำปี 2560 ระบุว่าช่วง 7 วันอันตรายตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2560 มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 478 ศพ บาดเจ็บ 4,128 คน เป็นสถิติที่สูงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา!
ขณะที่สถิติอุบัติเหตุในรอบปี จากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ระบุว่า ปี 2560 ที่ผ่านมา สถิติอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากกว่า 300,000 ครั้ง มีคนเสียชีวิตมากถึง 22,356 คน และมีผู้บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด ต้องแอดมิต สูงถึง 150,000 คน ในจำนวนนี้ 4.6 เปอร์เซ็นต์ ต้องลงเอยด้วยความพิการทางร่างกาย
ด้วยความกังวลนี้เอง ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย ร่วมกับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐภาคเอกชน การจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติเรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 13 ภายใต้แนวคิด "การลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางถนนที่ยั่งยืน"(Invest for Sustainable Road Safety)
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปภ.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ระบุว่า ประเทศไทยติดอันดับต้นๆ ของโลกของการมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยตัวเลขเสียชีวิตจากข้อมูลใบมรณบัตรเฉลี่ย 14,000-15,000 คนต่อปี และพบยอดผู้เสียชีวิตขยับเพิ่มขึ้น 33 เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยอุบัติเหตุเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการและกลไกอื่นๆ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยและมีแนวทางการลงทุนผ่านเสาหลักต่างๆ ที่สอดคล้องกับทิศทางและเป้าเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ให้คำตอบเรื่อง "การลงทุนทางถนน" ได้ดีที่สุดท่านหนึ่งอย่าง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ในอดีตย้อนหลัง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ได้ลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ และเมื่อเราไม่ได้มีการลงทุนทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนเข้ามาลดลง ยังมีปัญหารถติด ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ ระบบการคมนาคมไม่เชื่อมต่ออย่างสนิท
"แต่ทั้งหมดเป็นการลงทุนด้านกายภาพซึ่งต้องใช้เงิน ยังมีการลงทุนอีกประเภทที่ไม่ต้องใช้เงิน คือ การสร้างจิตสำนึก สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ซึ่งจะสามารถช่วยลดอุบัติเหตุได้" นายอาคมอธิบายย้ำชัดถึงความสำคัญของการลงทุนทางท้องถนน
ขณะที่ นิกร จำนง ประธานชมรมไทยปลอดภัย และอดีตประธาน กมธ.วิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูประบบความปลอดภัย ทางถนน ให้ความเห็นเรื่องการลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางท้องถนน ว่า เรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นเรื่องที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำเองไม่ได้ แต่ต้องร่วมมือกันทุกหน่วยงาน จึงจะแก้วิกฤตนี้ได้
"ผมมองว่าทิศทางการลงทุนในท้องถนน (1) ควรจะมีการลงทุนเรื่องรถจักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ เนื่องจากเป็นยานยนต์ที่คร่าชีวิตคนมากที่สุด คือมากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมาก็มีการทำโครงการหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเปิดไฟใส่หมวก รวมถึงเปิดไฟหน้าเวลากลางวัน โดยมีการขอความร่วมมือไปยังผู้ผลิตในประเทศไทยว่าเวลาสตาร์ตรถต้องทำให้ไฟติดอัตโนมัติ ซึ่งโครงการทั้งหมดช่วยลดอุบัติเหตุลงได้ (2) ต้องให้ความรู้กับประชาชน ตั้งแต่ระดับเด็กและเยาวชน เช่น ให้ความรู้เด็กระดับชั้นอนุบาลเรื่องการข้ามถนนให้ปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางถนนทั้งสิ้น โดยเฉพาะการให้ความรู้ในเด็กเป็นการลงทุนทางถนนในระยะยาว" นิกรอธิบาย
สอดคล้องกับ สตัฟฟาน แฮร์ สเตริม (H.E.Staffan Herrstrm) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย ผู้เฝ้ามองปรากฏการณ์บนท้องถนนในเมืองไทยได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า สำหรับประเทศไทยควรจะมีวัฒนธรรมความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องเข็มขัดนิรภัย หรือแม้กระทั่งการจำกัดความเร็ว รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาว่าเราไม่ยอมรับการดื่มแล้วขับ และจะต้องมีการลงทุนทำให้ความปลอดภัยเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้
"ผมไม่ค่อยได้ขับรถในเมืองไทย แต่คิดว่าเราควรจะมีคนที่เป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนทุกภาคส่วนร่วมกัน ผมอยากจะเห็นทั้งรัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเหลือกันในเรื่องนี้ ไม่แบ่งว่าเป็นฝ่ายไหน นอกจากนี้การจะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีจุดมุ่งหมายและตั้งเป้าว่าเราจะรณรงค์กับคนกลุ่มไหน และที่สำคัญคือจะต้องมีการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในยานยนต์ การลงทุนในการออกแบบถนนที่ปลอดภัย เช่นจากตัวอย่างที่ผมเห็นในประเทศไทย ในจุดที่มีที่กั้นก็ทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
เอกอัครราชทูตสวีเดนยังบอกเล่าประสบการณ์จากสวีเดนอย่างน่าสนใจว่า เมื่อก่อนสวีเดนมีอัตราความสูญเสียอยู่ที่ 17 คนต่อ 1 แสนคน แต่ปัจจุบันอัตราการสูญเสียลดลงมาอยู่ที่ 0.6 คน เนื่องจากเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วมีการรณรงค์ มีการออกแบบว่าจะสร้างความปลอดภัยได้อย่างไร
"สวีเดนมีการออกแบบความปลอดภัยหลายทางด้วยกันไม่ว่าจะเป็นตัวคนขับ ตัวยานยนต์ เช่น ที่สวีเดนถ้าจะขับรถจะไม่แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย เป็นวัฒนธรรมที่ปลูกฝังตั้งแต่เด็ก อยู่ในระบบการศึกษา เป็นเรื่องของคนรอบข้าง รวมถึงสื่อมีผลมาก ส่วนถนนมีการออกแบบวงเวียนต่างๆ เพื่อให้ความผิดพลาดในการขับขี่หรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยที่สุด รวมถึงการนำเรื่องความปลอดภัยใส่ไว้ในการศึกษาด้วย" สตัฟฟาน แฮร์สเตริม ทิ้งท้าย
งานสัมมนาครั้งนี้ยังฉายภาพความสูญเสียอย่างชัดเจนด้วยภาพยนตร์สั้นเรื่อง"สูญเสียกันทุกฝ่าย" ซึ่งถ่ายทอดผ่านบทเพลงแห่งความ "คิดถึง" ที่จัดทำโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ที่มีความมุ่งหวังตั้งใจอย่างยิ่งยวดในการกระตุ้นให้ทุกๆ คนในสังคมได้รับรู้ถึงความรู้สึก "สูญเสีย"เป็นการส่งผ่านความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียคนสำคัญในชีวิต สร้างความรู้สึกร่วมและหวังให้เกิดความมี "สติ" ในการใช้รถและถนนตลอดจนเกิด "ความไม่ประมาท" ในการขับขี่ เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัย