ร่วมยุติวัณโรคในกลุ่มประเทศอาเซียน
ที่มา: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
แฟ้มภาพ
เนื่องจากวัณโรคเป็นโรคติดต่อเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจที่เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย และประเทศในเขตอาเซียน โดย 8 ใน 10 ประเทศสมาชิกถูกจัดเป็นประเทศที่มีภาระโรคของวัณโรคสูง กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายสนับสนุนให้นำผลงานวิจัยต่อยอดพัฒนามาใช้ในการตรวจรักษา เพื่อยุติปัญหาวัณโรคทั้งในประเทศไทยและอาเซียน
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง นวัตกรรมการวิจัยและพัฒนาเพื่อกลยุทธ์ยุติวัณโรค “Innovative Interventions and Researches for End TB Strategy 2018” จัดโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ Japan International Cooperation Agency (JICA) ประเทศญี่ปุ่น และโครงการสร้างศักยภาพวิจัยวัณโรคและวัณโรคดื้อยาในอาเซียน ซึ่งได้รับทุนจาก Fogarty International Center, National Institute of Health เนื่องจากวัณโรคเป็นโรคติดต่อเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจที่เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย และประเทศในเขตอาเซียน โดย 8 ใน 10 ประเทศสมาชิกถูกจัดเป็นประเทศที่มีภาระโรคของวัณโรคสูง กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายสนับสนุนให้นำผลงานวิจัยต่อยอดพัฒนามาใช้ในการตรวจรักษา เพื่อยุติปัญหาวัณโรคทั้งในประเทศไทยและอาเซียน ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้กลยุทธ์ยุติวัณโรคในปี พ.ศ.2559 เน้นการทำวิจัยและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการวินิจฉัยและรักษาวัณโรค สนับสนุนให้แต่ละประเทศใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมอย่างพอเพียงและยั่งยืน เร่งสร้างสิ่งใหม่
นายแพทย์สุขุม กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยในแต่ละปีมีผู้ป่วยวัณโรคเสียชีวิตประมาณ 10,000 ราย และมีผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาอย่างน้อย 2,200 ราย ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการวินิจฉัย ทั้งที่คนไทยสามารถเข้าถึงการวินิจฉัยและรักษาวัณโรคตามระบบหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการยุติวัณโรค ที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยโตเกียวในการวิจัยด้านวัณโรคและได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากไจก้า (JICA) และองค์กรวิจัยและพัฒนาด้านการแพทย์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Agency for Medical Research and Development : AMED) ภายใต้โปรแกรม Science and Technology Research Partnership for Sustainable Development (SATREPS) โครงการ Integrative Application of Host and Genomic Information for Tuberculosis Elimination ซึ่งวิจัยและพัฒนาจนได้นวัตกรรมใหม่ที่สามารถนำมาใช้ประกอบการวินิจฉัยและรักษาวัณโรค ประกอบด้วย การตรวจเลือด เพื่อประเมินการแสดงออกของยีนที่ช่วยในการวินิจฉัยการติดเชื้อวัณโรค วิธีตรวจระดับยาต้านวัณโรค เพื่อประเมินขนาดยาต้านวัณโรคให้เหมาะสม และการตรวจพันธุกรรมเพื่อปรับขนาดยาต้านวัณโรคให้เหมาะสมกับลักษณะพันธุกรรม การถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อวัณโรคเพื่อการประเมินภาวะดื้อต่อยาต้านวัณโรค โดยภายในปีงบประมาณ 2561 นี้ ทางศูนย์พันธุศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดให้บริการการถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อวัณโรคทั้งจีโนมด้วยเทคนิคการถอดรหัสพันธุกรรมสมรรถนะสูง เพื่อประเมินภาวะดื้อยาและติดตามการระบาดของวัณโรค เพื่อช่วยสนับสนุนการควบคุมการระบาดของวัณโรค
“นอกจากนี้ได้เชิญนักวิจัยด้านวัณโรคจากประเทศญี่ปุ่น อังกฤษ อินโดนีเชีย พม่าและประเทศไทย ร่วมถ่ายทอดความรู้ทั้งด้านระบาดวิทยา เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข แบคทีเรียวิทยา พันธุกรรม เภสัชวิทยา และแบ่งปันประสบการณ์ ด้านการวิจัยวัณโรค โดย ดร.โทรุ โมริ (Dr. Toru Mori) อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวัณโรคแห่งประเทศญี่ปุ่นให้เกียรติบรรยายเรื่องมาตรการสำคัญที่ประเทศญี่ปุ่นใช้เพื่อลดวัณโรคได้มากกว่าร้อยละ 10% ต่อปี การสร้างความร่วมมือการวิจัยในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะทำให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในการควบคุมวัณโรคที่จำเป็นและยั่งยืนสำหรับผู้ป่วยวัณโรคในภูมิภาค โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยวัณโรคดื้อยา เพื่อเกิดประโยชน์ต่อการดำเนินกลยุทธ์ยุติวัณโรค ในกลุ่มประเทศอาเซียนตามกลยุทธ์ที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศไว้" นายแพทย์สุขุม กล่าวทิ้งท้าย