‘รักไม่ใช่การครอบครอง’ วาเลนไทน์ปี 60

ที่มา : คมชัดลึก 


ภาพประกอบจากเว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา


'รักไม่ใช่การครอบครอง' วาเลนไทน์ปี 60 thaihealth


เมื่อรักกลายเป็นการครอบครอง ปัญหาในความรักจึงตามมา สุดท้ายคนสองคนก็ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ปัญหานี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยผ่าน "กิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันวาเลนไทน์ประจำปี 2560"


โดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้แนวคิด "รักไม่ใช่การครอบครอง" ภายในงานมีการแสดงละครเพื่อสะท้อนมุมมองความรักเรื่อง "ฉากสุดท้ายในรักที่ต้องการครอบครอง"


สิทธิศักดิ์ พนไธสงค์ ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นเนื่องในวันวาเลนไทน์ต่อ "สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวและคู่รัก" จากกลุ่มผู้หญิง อายุ 17-40 ปี จำนวน 1,608 ตัวอย่าง สำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 27 มกราคมp2 กุมภาพันธ์ 2560 พบกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มองว่า "ไม่จำเป็นที่วันวาเลนไทน์ต้องแสดงความรักเพราะสามารถทำได้ทุกวันอยู่แล้ว" เมื่อถามถึงมุมมองความรัก พบว่า เกินครึ่ง หรือ 76.8% มองว่า ผู้หญิงต้องรักเดียวใจเดียว ขณะที่ 47.9% มองว่าผู้ชายควรเป็นผู้นำครอบครัว 43.3% ภรรยา/คนรักที่ดีต้องเชื่อฟัง เอาอกเอาใจ 40.3% "รักต้องครอบครอง" ผู้หญิงเปรียบเป็นสมบัติสามี นอกจากนี้ 20.8% มองว่าผู้ชายมีอะไรกับคนรักแล้วไม่ป้องกัน นั่นแสดงถึงความไว้วางใจ และ 18.2% มองว่าการหลับนอนกับสามี/คนรัก ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ


"ที่น่าห่วงคือคู่รักที่เคยเจอทั้งกับตัวเอง/เพื่อน/คนรู้จัก ยังคงเป็นปัญหาแฟนเจ้าชู้/คบหลายคน/ นอกใจ เคยถูกคู่รักกักขังหน่วงเหนี่ยว ถูกดุด่า/พูดจาหยาบคาย/ส่งเสียงดัง ถูกทำร้ายร่างกาย เช่น ตบหน้า ทุบตี ข่มขู่คุกคามให้หวาดกลัว ประจาน ที่สำคัญพบว่ากว่า 42.2% ล่อลวง/บังคับให้มีเพศสัมพันธ์ และ 41.1% ถูกบังคับให้ทำแท้ง สำหรับปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรุนแรงในคู่รัก คือ การนอกใจ หึงหวง หวาดระแวง การใช้ยาเสพติด การดื่มสุรา การไม่ให้เกียรติกัน และพฤติกรรมติดสื่อโซเชียล" สิทธิศักดิ์ กล่าว


สิทธิศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลปัญหาความรุนแรงในคู่รักเกิดมาจากทัศนคติการมองความรักเป็นการใช้อำนาจ การแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มองว่าผู้หญิงเป็นสมบัติของคนรัก ล้วนมาจากทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ คนในสังคมจึงควรปรับเปลี่ยนมุมมองความรัก ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ความสำคัญกับความรัก ให้เกียรติกัน เข้าใจกัน แบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน เช่น ผู้ชายช่วยงานบ้าน เลี้ยงดูลูกได้ ในส่วนของปัจจัยกระตุ้น จากการใช้สารเสพติด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือว่ามีส่วนสำคัญทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงและลุกลามบานปลาย


ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ควรมุ่งประเด็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ในเทศกาลวาเลนไทน์เพียงอย่างเดียว แต่ควรมีมาตรการรับมือปัญหาจากปัจจัยกระตุ้นอย่างเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ขณะเดียวกันกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรรณรงค์สร้างความรักในนิยามใหม่ ที่เน้นความเข้าใจ การเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกายผู้หญิง เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการควรปรับหลักสูตรเน้นการเรียนการสอน "มิติบทบาทหญิงชาย" เพื่อสร้างทัศนคติตั้งแต่วัยเด็กให้เข้าใจความรักในแบบที่มีความเคารพสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ


น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี ผู้ที่เคยถูกอดีตสามีกระทำความรุนแรง เล่าให้ฟังว่า อยู่กินกับฝ่ายชายมากว่า 7 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน ฝ่ายชายมีพฤติกรรมหึงหวง ไม่ให้เกียรติ มองว่าตัวเองเป็นใหญ่ในบ้าน มักมีปากเสียงกันเป็นประจำ ชอบทำร้ายร่างกาย ทุบตี และกักบริเวณ กระทั่งครั้งนั้นทนไม่ไหวหนีออกจากบ้าน แต่เมื่อฝ่ายชายไปง้อก็ให้โอกาสมาตลอด ด้วยความที่คิดว่าผู้ชายจะดูแลเราได้และไม่ทำร้ายอีกเมื่อกลับมาใช้ชีวิตครอบครัว สุดท้ายพฤติกรรมยังเป็นเหมือนเดิม ทำร้าย พาไปกักขังข่มขู่เช่นเดิม และทวีความรุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดต้องเลิกรากันไป ทุกวันนี้แผลเป็นบนใบหน้าที่ได้กระทำกับตนเป็นเครื่องเตือนใจเตือนสติได้เป็นอย่างดี และประสบการณ์ที่ผ่านมาคือบทเรียนทำให้ตนเองและครอบครัวผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาได้ เพราะแม้จะพยายามรักษาคำว่าครอบครัว เมื่อไม่สามารถรักษาได้ การแยกทางกันคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตคู่


น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ผู้ที่เคยถูกอดีตสามีกระทำด้วยความรุนแรง กล่าวว่า ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมา 2-3 ปี ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องยาเสพติดและเมาสุรา ทุกครั้งที่ดื่มจะมีปากเสียง ทุบตี ทำร้ายร่างกายเคยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลนับเดือนที่ผ่านมาต้องอดทนเพื่อชีวิตครอบครัว ยิ่งฝ่ายชายตกงาน ตนจึงต้องรับภาระหนักขึ้น ต้องทำงานคนเดียวหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว กระทั่งมาถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง


"เขาหาว่าไปท้องกับชายอื่น จึงใช้มีดแทงที่ท้อง จากนั้นใช้มีดฟันศีรษะและนิ้วมือจนเส้นเอ็นขาด เกือบเอาชีวิตไม่รอด ขณะนั้นหวาดระแวงมาก กลัวว่าเขาจะมาทำร้าย และเมื่อต้องเลิกรากัน ชีวิตก็ดีขึ้นแม้ยังต้องดูแลตัวเอง ไปพบแพทย์เพื่อรักษาเส้นเอ็นที่นิ้วขาดและต้องทำกายภาพบำบัด ทั้งนี้อยากเตือนสติคู่รักทุกคน ว่าการใช้ความรุนแรงไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา และหากรู้ว่าชีวิตคู่ไปด้วยกันไม่รอด ก็ไม่ควรประคับประคอง เพราะหากร้ายแรงกว่านี้จะนำมาสู่ความสูญเสียถึงชีวิตได้" น.ส.บี กล่าว


นายซี (นามสมมติ) อายุ 21 ปี กล่าวว่า คบกับแฟนมา 9 ปี แรกๆ รักกันมาก เหมือนวัยรุ่นทั่วไป จากนั้น 2 ปีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านแฟน ดูแลเอาใจใส่ไปรับส่งโรงเรียนเป็นประจำ แต่ตนมีนิสัยขี้หึง ไม่ชอบเห็นแฟนคุยกับใคร หลายครั้งที่คิดไปเองว่าแฟนจะปันใจไปมีคนอื่น ประกอบกับเพื่อนชอบยุแยง ยิ่งทำให้เกิดความระแวงไม่ไว้ใจ จึงทะเลาะกันลงไม้ลงมือ ตบต่อย บีบคอ กักขังไม่ให้แฟนสาวออกไปไหน แม้เขาจะร้องขอไม่ให้แสดงพฤติกรรมแบบนี้ แต่ผ่านไปไม่นานก็เกิดขึ้นอีก เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกจับกุมเข้าไปอยู่ในสถานพินิจฯ ในที่สุด


"ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแฟนไม่เคยนอกใจผมเลย เขามาเยี่ยมผมที่บ้านกาญจน์ทุกอาทิตย์ ผมได้เปลี่ยนความคิด เลิกระแวง เลิกหึงหวง หากไม่พอใจก็จะใช้วิธีเดินหนี แทนการใช้ความรุนแรง จากเมื่อก่อนที่เคยควบคุมทุกอย่าง แต่ตอนนี้เราสองคนต่างมีชีวิตให้อิสระต่อกัน" นายซี กล่าวทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code