รักษ์สิ่งแวดล้อม “วันคุ้มครองโลก” ลงมือทำหรือยัง?

ปัญหาขยะ น้ำเน่าเสีย ปรากฏการณ์เรือนกระจก ภาวะโลกร้อน เอลนินโญ ลานีญา แผ่นดินไหว และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นผลกระทบจากการไม่รักษาสิ่งแวดล้อมของมนุษย์

แม้ว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา จะมีการรณรงค์ให้ความรู้เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า หากแต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมหันตภัยธรรมชาติร้ายแรงก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสมือนส่งสัญญาณเตือนและให้บทเรียนกับมนุษย์เป็นระยะๆ อย่างมีนัยสำคัญ

คำถามจึงมีว่า กว่า 40 ปีที่ผ่านมาที่เรามีวันคุ้มครองโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน และวันสิ่งแวดล้อมโลก ในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เพื่อให้มีความตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม การลดใช้พลังงาน และช่วยกันดูแลธรรมชาติที่มีอยู่รอบชีวิตนั้น เราลงมือทำกันแล้วหรือยัง?

“จริงๆ แล้วปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้ซับซ้อน แต่คนเรายังขาดความตระหนักที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น” คือความเห็นของ ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร มหาวิทยาลัยมหิดล นายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และรองประธานกรรมการมูลนิธิใบไม้เขียว

โดยอาจารย์เห็นว่า การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่นั้น หลายครั้งเหลือเกินที่ภาพออกมาสวยงาม แต่เป็นไปอย่างฉาบฉวย ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้คนเกิดความตระหนัก รวมถึงมีแรงจูงใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมมากเพียงพอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

‘รู้’ แต่ ‘ไม่ทำ’

นายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมขั้นพื้นฐานจริงๆ คือ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งน้ำ ไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลือง ขาดความตระหนัก และความเข้าใจถึงผลกระทบที่จะตามมา ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ปัญหาใหญ่คือ เรารู้ทั้งเรื่องการประหยัดพลังงานและการลดจำนวนขยะ รู้ว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร แต่เราไม่ทำ เรารู้ว่าการล้างเศษอาหารลงท่อระบายน้ำนั้นไม่ถูกต้อง ทำให้น้ำเน่า รู้ว่าการใส่เศษอาหารในถุงพลาสติกจะทำให้ย่อยสลายยาก กลายเป็นกองขยะเน่า แต่เราก็ทำ เราใช้กระดาษปีๆ หนึ่งเป็นจำนวนมาก แล้วเราปลูกต้นไม้เพื่อทดแทนที่ใช้ไปกี่ต้น เมื่อมีคนใช้ แต่ไม่มีคนสร้าง จะโทษใคร จะไปโทษระบบอุตสาหกรรมฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะเรื่องเหล่านี้ถือเป็นความรับผิดชอบของทุกคน ถ้าคุณยังใช้ของครั้งเดียวแล้วทิ้ง เมื่อของใช้หมด ก็แค่เอาเงินไปซื้อใหม่ กลายเป็นว่าการมีกำลังใน ‘การซื้อ’ คือพลังในการทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นนั่นหรือ มันไม่ถูก”

พฤติกรรมเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า คนในสังคมยังขาดจิตสำนึกที่จะเป็นผู้บริโภคที่ดี ไม่ได้คิดถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อม ต้นทุนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

“ที่ผ่านมาเราไม่มีความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรของตัวเอง แต่กลับกล่าวโทษคนอื่นว่า คนนั้น คนนี้ไม่ทำ ไม่จัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม จุดนี้นับเป็นรากเหง้าของปัญหา คำว่าขาดจิตสำนึกในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี แต่หมายถึงขาดความระมัดระวัง ความเป็นห่วงเป็นใยชีวิตอื่นว่า การสร้างขยะ ทิ้งขยะ ทิ้งถ่านไฟฉายลงดิน จะทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในดินอยู่ได้หรือเปล่า การปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำ ลงทะเล จะทำให้สัตว์น้ำเล็กๆ จำพวกแพลงตอนอยู่ได้หรือไม่ เพราะทุกครั้งที่ถังขยะหน้าบ้านเต็ม ก็จะมีคนมาเก็บขยะไปทิ้ง เมื่อขยะล้นเมือง หน่วยงานที่รับผิดชอบก็จัดการแค่เพียง ‘ย้าย’ ที่อยู่ของปัญหา ด้วยการขนส่งขยะไปที่อื่น พอคิดเหมือนกันหมดหลายๆ ประเทศ เมื่อไม่มี ‘พื้นที่’ ให้ย้ายขยะไปไหนแล้ว ก็เลยมีการนำขยะไปทิ้งทะเล กลายเป็นทุกคนสร้างภาระ ผลักภาระ รู้จักแต่การย้ายปัญหา แต่แก้ปัญหาไม่ถูกจุด รวมถึงไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมในการป้องกันปัญหาด้วย” อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรกล่าว

‘ฉุกคิด’ เมื่อไร…ดีแน่

เมื่อไม่ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น มีคน ‘ใช้’ มากกว่า คน ‘ดูแล’ จึงเป็นไปไม่ได้ หากจะหวังให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง เสมือนกับการออกกำลังกายที่ทุกคนรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่น้อยคนนัก ที่จะออกกำลังกายเป็นประจำ

“ทุกวันนี้ มีใครไม่รู้บ้างว่า ถ้าไม่ดูแลธรรมชาติ และใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ผลกระทบคืออะไร ประเด็นตอนนี้ ถ้าอยากแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง จึงน่าจะอยู่ที่ เราจะสร้างความตระหนักอย่างไรให้มากพอที่จะเกิดแรงจูงใจในการลงมือปฏิบัติจริง ขณะที่สังคมเป็นการสร้างสมสังคมของการเสพ มีช่องทางในการเลือกเสพสื่อต่างๆ มาก จนไม่มีเวลาคิดพิจารณา และวิเคราะห์ว่า สิ่งที่เสพเข้าไปดีหรือไม่ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในทุกวันนี้ ส่วนมากจึงสะท้อนออกมาในแง่ที่ว่า ปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ไม่คิดจะแก้ไข แต่ถ้าเป็นปัญหาที่ตัวเอง ‘บริโภค’ ไม่สะดวก กลับอยากจะแก้ไข”

ทั้งนี้ รองประธานกรรมการมูลนิธิใบไม้เขียวทิ้งท้ายไว้ว่า หากสังคมเริ่ม ‘ฉุกคิด’ เมื่อไร เราถึงจะมีความหวังว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะทุเลาลง และได้รับการแก้ไขจริงๆ

ด้าน จักรพันธ์ ตรวจมรคา ผู้จัดการแผนงาน (Project Manager) ของกลุ่ม Big trees ให้ความเห็นว่า เรื่องสิ่งแวดล้อม ยังคงเป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ทั้งๆ ที่ทุกวันหยุด เราเรียกร้องการออกไปพักผ่อนกับธรรมชาติ แต่วันธรรมดาเรากลับไม่เรียนรู้ที่จะดูแลรักษาธรรมชาติให้อยู่กับเราไปนานๆ

ดังนั้น ตัวแทนคนรุ่นใหม่ในสังคมเมือง จึงใช้พลังของ ‘สังคมออนไลน์’ ในการรวมตัวกลุ่มคนเพื่อสร้าง ‘พื้นที่สีเขียว’ ด้วยการจัดกิจกรรมในการรักษา ดูแล และปลูกต้นไม้ให้ได้มากที่สุด

เขาให้ความเห็นว่า “ต้นไม้ไม่ได้ช่วยแค่การสร้างพื้นที่สีเขียว แต่ยังช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงคุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ใกล้ คอยเป็นปอด เป็นที่ฟอกอากาศ รวมถึงเป็นที่พักผ่อนด้วย”

“หน้าบ้านเขียวได้อีก” คนละไม้คนละมือกันเถอะ…

จักรพันธ์เชื่อว่า ถ้าวันนี้เราดูแลสิ่งแวดล้อม วันหนึ่งสิ่งแวดล้อมก็จะดูแลเรา และในความเห็นของเขา เรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่ต้นไม้ แต่เป็นคุณภาพชีวิต การเดินทาง สภาพอากาศ คือรายละเอียดที่อยู่รอบตัวและใช้ชีวิตอยู่ด้วยทุกวัน

“การดูแลสิ่งแวดล้อม ควรเป็นเรื่องที่มีจุดตั้งต้นที่ ‘ภายใน’ ตัวเอง แล้วร่วมมือกันทำ เมื่อเริ่มต้นทำ นั่นก็หมายความว่า เราได้เริ่มต้นแล้ว อย่างน้อยที่สุด การช่วยกันปิดไฟ ดึงปลั๊กไฟออกทุกครั้งที่ไม่ใช้งาน เปิดแอร์สลับกับการใช้พัดลม รู้จักใช้ระบบขนส่งสาธารณะและการปั่นจักรยานทดแทนการขับรถ สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นทางเลือกของการลดใช้พลังงาน”

การจัดกิจกรรมของ Big trees จึงมีขึ้นเพื่อสร้างความตระหนัก พร้อมทั้งเป็นพื้นที่ให้คนมี ‘ใจ’ ในการรักษ์สิ่งแวดล้อม มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมร่วมกัน แม้ว่าจะเป็นกลุ่มคนเล็กๆ แต่ก็ทำงานด้วยความเชื่อว่า สิ่งดีๆ ที่เริ่มต้นทำนี้ จะได้รับ ‘การบอกต่อ’

เขาเล่าถึง ‘หน้าบ้านเขียวได้อีก’ โครงการใหม่ที่กำลังจะทำว่า คือการส่งเสริมให้มีพื้นที่สีเขียวเกิดขึ้นในชุมชน การปลูกต้นไม้หน้าบ้าน รวมถึงขอความร่วมมือจากทางสำนักงานขององค์กรต่างๆ ร่วมจัดทำพื้นที่สีเขียวในองค์กร พร้อมทั้งช่วยกันดูแลให้เกิดความยั่งยืนขึ้นในระยะยาว

“การสร้างพื้นที่สีเขียว การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ถ้าเราบอกว่า เราอยากใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทาง แต่อากาศมันร้อน เราก็น่าจะต้องแก้ปัญหาด้วยการปลูกต้นไม้เพื่อให้ความร่มรื่นเพิ่มขึ้น” ผู้จัดการแผนงานกล่าว

ฉะนั้น เรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ถ้าเราทุกคนไม่มีความตระหนัก และไม่ลงมือทำด้วยตัวเอง การแก้ไขปัญหา ก็เป็นได้แค่ ‘ฝัน’ เท่านั้น

 

 

เรื่องโดย ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th

 

Shares:
QR Code :
QR Code