ระวังโรคลมแดดหน้าร้อน อาจถึงตายได้
สธ.เตือน 6 กลุ่มเสี่ยงระวังอันตรายจากโรคลมแดดเพราะอากาศร้อน อาจเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะพ่อแม่ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถยนต์ลำพัง แนะวิธีสังเกตร่างกายขาดน้ำหรือไม่ โดยดูจากสีของปัสสาวะ สำคัญที่สุดคือ ต้องดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ โดยดื่มน้ำ 1-2 ลิตรต่อวัน สวมเสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อน ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ไปถึงกลางเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะเดือนเมษายน แสงแดดจะแรง อากาศร้อนจัด และมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ทำให้เหงื่อไม่สามารถระเหยและพาความร้อนออกจากร่างกายได้ เสี่ยงเป็นโรคลมแดด อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงสั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดและโรงพยาบาลทุกแห่ง ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการเสียชีวิต โดยอยู่ในบ้านหรือในตัวอาคารที่มีร่มเงาและดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำของร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงกลางวันจนถึง 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิอากาศสูงที่สุด
นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงหน้าร้อนนี้ ประชาชนอาจได้รับความร้อนมากจนเกินไปและเกิดภาวะขาดน้ำ เสี่ยงต่อการป่วย 4 โรคหลักๆ ได้แก่ 1. โรคลมแดด หรือฮีสโตรก (heat stroke) 2. โรคเพลียแดด (heat exhaustion) 3. โรคตะคริวแดด (heat cramps) และ 4. ผิวหนังไหม้แดด (sunburn) ซึ่งอาการแต่ละโรคเกิดขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และระยะเวลาที่ต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดด โรคที่รุนแรงที่สุดและเสี่ยงเสียชีวิตคือ โรคลมแดด ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากการได้รับความร้อนมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาในภาวะอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ทำให้สมองไม่ทำงาน ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ได้ รวมทั้งสูญเสียความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติเกิน 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องให้การรักษาอย่างรีบด่วน เนื่องจากมีโอกาสเสียชีวิตได้ แม้ในผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า อาการสำคัญโรคดังกล่าว ได้แก่ ตัวร้อนจัด แต่ไม่มีเหงื่อออก เพ้อหรือหมดสติ ชีพจรเต้นเร็ว ช็อก ผิวหนังแห้งและร้อน ระดับความรู้สึกตัวลดลง การทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว กระสับกระส่าย เอะอะ ก้าวร้าว หมดสติ เกร็ง ชัก โดยกลไกการทำงานของร่างกายหลังจากที่ได้รับความร้อน จะมีการปรับตัว โดยส่งน้ำหรือเลือดไปเลี้ยงอวัยวะภายใน ทำให้ผิวหนังขาดเลือดและน้ำไปหล่อเลี้ยง จึงไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับการช่วยเหลือผู้ที่มีอาการเป็นลมแดด นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า ให้นำผู้ที่มีอาการเข้าในที่ร่ม ให้นอนราบ ยกเท้าทั้งสองข้างให้สูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงที่สมอง คลายเสื้อผ้าออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น หรือน้ำแข็งประคบตามซอกตัว คอ รักแร้ ขาหนีบ ศีรษะ ร่วมกับการใช้พัดลมช่วยเป่าระบายความร้อน หรือเทน้ำเย็นราดลงบนตัว เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลงโดยเร็ว และรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจเสียชีวิตได้ ในรายที่อาการยังไม่มากควรให้ดื่มน้ำเปล่าธรรมดามากๆ
ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเกิดโรคลมแดด มี 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. เด็ก 2. ผู้สูงอายุ เนื่องจากระบบการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายไม่สมบูรณ์เท่าวัยหนุ่มสาว 3. ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักตัวมาก 4. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ซึ่งต้องกินยาขับปัสสาวะเพื่อขับน้ำและสารโซเดียมออกจากร่างกาย 5. ผู้ที่ต้องทำงาน หรือออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ และ 6. ผู้ที่ดื่มสุรา หรือเบียร์ในขณะที่มีสภาพอากาศร้อน จะปัสสาวะบ่อยเพื่อขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ทำให้เสียน้ำและเกลือแร่ตามไปด้วย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะนำเพิ่มเติมว่า วิธีการปรับสภาพร่างกายเพื่อป้องกันอันตรายจากอากาศร้อน ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ โดยดื่มน้ำ 1-2 ลิตรต่อวัน สวมเสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาเสพติดทุกชนิด ที่ต้องสนใจเป็นพิเศษคือ เด็กเล็กหรือคนชราที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยควรให้อยู่ในสถานที่ที่ระบายอากาศได้ดี และอย่าเพิกเฉยต่อความรู้สึกร้อน หรือเหนื่อยเกินไปของเด็กและคนชรา
“สิ่งที่ควรระวังคือ พ่อแม่ที่ปล่อยลูกไว้ในรถแล้วไปซื้อของ อาจเปิดเครื่องยนต์เปิดแอร์ไว้ แต่หากเครื่องยนต์ดับในชั่วเวลาไม่นาน อุณหภูมิภายในรถจะสูงขึ้น ยิ่งหากอุณหภูมิภายนอกสูง เช่น ในเวลากลางวัน ความร้อนจะยิ่งทวีคูณอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิภายในรถอาจเพิ่มขึ้นถึง 51 องศาเซลเซียสได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที ซึ่งในเด็กอุณหภูมิภายในร่างกายจะปรับตัวต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายจะสูงเร็วกว่าผู้ใหญ่ถึงเกือบ 5 เท่าตัว” นพ.ไพจิตร์ กล่าว
ทั้งนี้ การสังเกตว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่ สามารถสังเกตง่ายๆ จากสีของปัสสาวะ ถ้าปัสสาวะมีสีเหลืองจางๆ แสดงว่าได้รับน้ำเพียงพอ แต่ถ้าปัสสาวะสีเหลืองเข้มและปัสสาวะออกน้อย แสดงว่าได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะต้องดื่มน้ำให้มากๆ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ