ระดมผู้เชี่ยวชาญ รับมือฝุ่น PM 2.5

ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์


ระดมผู้เชี่ยวชาญ รับมือฝุ่น PM 2.5 thaihealth


แฟ้มภาพ


สสส.ชวนฝ่าวิกฤตฝุ่น PM2.5 ดึงนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง 7 ด้าน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง หาทางออกให้ประเทศ สร้างความตระหนักภัยคุกคามสุขภาพ ลดมลพิษทางอากาศ


ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้เปิดตัวโครงการพลเมืองสร้างสรรค์ (Active Citizen) และผู้นำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง (Prime Mover) ในบริบทการจัดการคุณภาพอากาศสำหรับประเทศไทย


ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักวิชาการต่างแขนงเพื่อช่วยหาทางแก้ปัญหามลพิษทางอากาศรวม 7 คน ประกอบด้วย ศ.ดร.ศิวัช , รศ.ดร.ธันวดี สุขสาโรจน์ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล , ผศ.ดร.กฤษฎากร ว่องวุฒิกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ , ผศ.ดร.นิอร สิริมงคลเลิศกุล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา , ผศ.ดร.รณบรรจบ อภิรติกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ,ผศ.ดร.รุจิกาญจน์ นาสนิท อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร และ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บล.ไทยพาณิชย์


โดย ศ.ดร.ศิวัช ระบุว่า โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. จากมลพิษทางอากาศที่ไม่ได้มีเพียงค่า PM 2.5 เพียงชนิดเดียว ซึ่งปัญหาก็คือเราจะแก้กันอย่างไร เพราะไม่ได้ทำได้ง่ายเหมือนการควบคุมโรคโควิด-19 ระบาด เนื่องจากแหล่งกำเนิดซับซ้อน ไร้พรมแดนต่อให้ไทยไม่ปล่อยมลพิษแต่ถ้าประเทศเพื่อนบ้านเรายังมีอยู่ก็ได้รับผลกระทบอยู่ดี ในฐานะที่ตนทำเรื่องนี้มาตลอดก็คิดว่าเราจะใช้มุมมองทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวมาแก้คงไม่ได้ เลยเป็นที่มาของการรวมตัวเหล่านักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาแต่มีอุดมการณ์อยากได้อากาศที่สะอาดในประเทศนี้ โดยล่าสุดทีม Prime Mover เตรียมเข้าพบกับพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่นที่กำลังจะเกิดขึ้น ในวันที่ 17 พ.ย.นี้


ด้านนายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ตนขอขอบคุณนักวิชาการทั้ง 7 คนที่มารวมตัวกันจากสหวิชาการ สสส.ชื่นชม ยกย่อง ให้กำลังใจและคิดว่า เรากำลังสู้อยู่กับมหันตภัยซึ่งมีมาเป็น 10 ปี แต่ประชาชนเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เราสูดเข้าไปทุกวันมันมีอันตรายมาก มันก่อมะเร็ง และโรคที่ไม่ติดต่อหลายโรคมาก รวมทั้งส่งผลต่อสุขภาพจิตคนไทย สิ่งที่เรากำลังทำเป็นการก่อร่างสร้างตัวที่สำคัญ ซึ่งไม่ใช้ประเด็นสาธารณสุขเพียงอย่างเดียวที่จะแก้ปัญหา แต่มีอีกหลายภาคส่วนที่จะต้องมาจัดการสนับสนุนการทำงานร่วมกัน สสส.เป็นหน่วยงานที่จุดประกาย สร้างเสริม สร้างพลังให้มีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร สูดอากาศอย่างปลอดภัย


ทั้งนี้ทีม Prime Mover ได้มีการเสวนาถึงปัญหาฝุ่นอย่างน่าสนใจ โดย รศ.ดร.ธันวดี เปิดเผยถึงงานวิจัยที่มีการพบว่า   โรคหลงๆ ลืมๆ ก่อนวัยอันควร , เบาหวาน , มะเร็ง และโรคไม่ติดต่อ อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม มลพิษทางอากาศจากการสูดดมฝุ่น ยิ่งรับมากยิ่งเสี่ยงมาก และยังส่งผลต่อค่ารักษาพยาบาลของรัฐที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นต้องให้ประชาชนรับรู้ถึงปัญหาให้เหมือนกับโรคโควิด-19 มีการใช้ระบบชุมชน รวมทั้ง อสม.แจ้งเตือนสภาวะอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งนี้อยู่ที่รัฐบาลเชื่อหรือไม่ว่าสิ่งนี้คือปัญหาสำคัญ และกล้าให้ข้อเท็จจริงแบบตรงไปตรงมา


สอดคล้องกับ ผศ.ดร.รุจิกาญจน์ ที่เปิดเผยถึงความเป็นไปได้ของไวรัสที่มาพร้อมกับฝุ่น โดยอ้างอิงงานวิจัยในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดอย่างหนักในประเทศอิตาลีรอบแรก โดยพบว่า   พื้นที่ที่มีค่า PM 2.5 สูง ก็พบมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้สูงเช่นกัน


ด้านผศ.ดร.นิอร ซึ่งเป็น 1 ในทีมที่ทำให้ชาว จ.เชียงราย หยุดการเผาเพื่อสร้างมลพิษได้สำเร็จ แนะนำว่า ให้เริ่มจากการหยุดวิจารณ์คนเผา แต่ชวนให้ไปดับไฟป่า จะได้ทราบถึงปัญหา พร้อมทั้งสร้างห้องเรียนรู้ฝุ่นให้การเรียนรู้แก่เด็ก เพื่อปลูกจิตสำนึกและนำความรู้ไปสู่ผู้ปกครอง


ขณะที่ ผศ.ดร.กฤษฎากร กล่าวถึงกฏหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมว่า มีกระจัดกระจายไปอยู่ในหลายหน่วยงานรัฐ ฉะนั้นภาครัฐอาจต้องพูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหา รวมทั้งการบังคับใช้กฏหมายที่จริงจัง ควบคู่กับมาตรการส่งเสริมสร้างสมดุลระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม โดยการหายใจในอากาศบริสุทธิ์ เป็นสิทธิ์ที่พึงมีตามรัฐธรรมนูญ ภาคประชาชนอาจยื่นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อตรวจสอบการใช้เงินของหน่วยงานที่แก้ปัญหาว่ามีประสิทธิภาคหรือไม่ พร้อมผลักดันมาตรการไม่รับซื้อสินค้าที่มาจากการเผาทำลายคุณภาพอากาศ


ทางด้านนายปิยศักดิ์ ได้เสนอทางแก้ปัญหาอาทิ เพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เก็บค่าผ่านเข้าเมือง ภาษีที่ดิน ผลัดดันการขนส่งสาธารณะโดยภาครัฐต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น ลดแรงจูงใจในการเพิ่มฝุ่น เพิ่มแรงจูงใจธุรกิจพลังงานสะอาด ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และให้เงินอุดหนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมองว่าถ้าไทยสามารถแก้ปัญหาฝุ่นได้ จะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น 3%


เช่นเดียวกับ ผศ.ดร.รณบรรจบ ที่มองว่ารัฐต้องแก้ที่ต้นเหตุคือปัญหาพลังงานเชื้อเพลิง และการลดมลพิษ รวมทั้งเตรียมพร้อมรับมือที่ปลายเหตุ ทั้ง หน้ากากอนามัย เครื่องกรองอากาศ พื้นที่เซฟโซนอากาศบริสุทธิ์ และเพิ่มห้องความดันบวก


ส่วน ศ.ดร.ศิวัช เสนอให้ตั้งสำนักพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เป็นศูนย์สั่งการ แต่ก็มองว่าในไทยมีการเผาป่าในหลายรูปแบบและยังพบว่ามีการเผาในพื้นที่ป่าสงวนเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ก็ต้องกระตุ้นให้ประชาชนตื่นรู้ สร้างความเข้าใจถึงเรื่องมลพิษทางอากาศเป็นปัญหาที่บั่นทอนต่อชีวิตและบุตรหลาน

Shares:
QR Code :
QR Code