ระดมความเห็นวางแนวทางปฏิรูปหลักสูตรการสอน

 

สสค.ระดมความเห็นทุกภาคส่วนร่วมวางแนวทางปฏิรูปหลักสูตรการสอนในกลุ่ม “ทักษะชีวิตและโลกของงาน” พร้อมเปิดผลสำรวจกรณีศึกษาการปฏิรูปหลักสูตรในต่างประเทศ พบจุดร่วมกัน 3 ด้าน ได้แก่ 1) วางทิศทางการพัฒนาเด็กที่ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาประเทศ 2) ปรับปรุงหลักสูตรอย่างต่อเนื่องให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และ 3) เน้นพัฒนาทักษะมากกว่าเนื้อหา

จากที่คณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน มี ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว. ศึกษาธิการ เป็นประธาน ได้มีการแบ่งโครงสร้างหลักสูตรเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1) ภาษาและวัฒนธรรม 2) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ 3) การดำรงชีวิตและโลกของงาน 4) ทักษะสื่อการสื่อสาร 5) สังคมและมนุษยศาสตร์ และ 6) อาเซียน ภูมิภาค และโลก โดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) รับผิดชอบในกลุ่มการดำรงชีวิตและโลกของงาน

สสค.จึงจัดประชุมปฏิบัติการแนวทางปฏิรูปหลักสูตรกลุ่มสาระการดำรงชีวิตและโลกของงาน โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 50 คน อาทิ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะชีวิตของเยาวชน ครูและบุคลากรทางการศึกษา เครือข่ายการศึกษาทางเลือก ภาคเอกชนที่ร่วมจัดการศึกษา ผู้ปกครองและกลุ่มเยาวชน

ศ.ดร.สุมาลี ตั้งประดับกุล กรรมการปฏิรูปหลักสูตรฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ต้องมีการปฏิรูปหลักสูตรเพราะพบว่าเด็กคิดไม่เป็น เด็กยิ่งเรียนยิ่งมีปัญหาบางอย่าง โดยพบว่าวิธีการสอนเราเน้นที่เนื้อหามากกว่าการสร้างทักษะเพื่อต่อยอดการเรียนรู้ ซึ่งการให้สาระความรู้มีความสำคัญ แต่จะทำอย่างไรให้เด็กสามารถนำความรู้นั้นไปต่อยอดนั่นคือ เด็กจึงต้องถูกบ่มเพาะเพื่อปูพื้นฐานตั้งแต่เด็กเล็กช่วงประถม 1-6 จึงมีความสำคัญในการปลูกฝังกระบวนความคิด เพื่อให้ช่วงมัธยมจะได้มุ่งสู่การค้นคว้าการเรียนรู้ โดยรูปแบบหลักสูตรการสอนของครูจะไม่ทำเป็นคู่มือครูเหมือนอย่างเดิมที่ให้ไป เพราะเป็นคู่มือที่ครอบงำเด็ก ครูไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง แต่ต้องมีระบบที่ทำให้ครูเข้าใจร่วมกัน

นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสค. กล่าวว่า ทักษะชีวิต และโลกของงานจะเกี่ยวข้องกับเด็กกลุ่มใหญ่ของประเทศซึ่งขณะนี้พบว่ามีเด็กไทย 60-70% ต้องออกจากรั้วการศึกษา หลักสูตรการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะชีวิตและโลกของงาน จะมีการยกร่างให้สอดคล้องกับโครงสร้างหลักสูตรใหม่ที่วางไว้ คือ รูปแบบการแบ่งช่วงชั้น จากเดิมแบ่งออกเป็นประถมต้น (ป.1-ป.3) ประถมปลาย (ป.4-ป.6) มัธยมต้น (ม.1-ม.3)และมัธยมปลาย/ปวช. (ม.4-ม.6) จะเปลี่ยนเป็น ป.1-ป.2จะเป็นการเรียนรู้ทักษะโดยรวม และการปรับชั่วโมงการเรียนจากเดิม 1,200 ชั่วโมง เป็น 800-900 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับค่าเฉลี่ยในต่างประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์การเรียนสูง โดยชั่วโมงการเรียนในกลุ่มทักษะชีวิตและโลกของงานจะอยู่ที่ 120 ชั่วโมง หรือ 15% ของหลักสูตรการสอน

สำหรับกรณีศึกษาการปฏิรูปหลักสูตรการสอนในต่างประเทศ นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงศ์ นักวิชาการ สสค. กล่าวว่า ผลการศึกษาจากองค์การยูนิเซฟได้ประมวลรูปแบบการปฏิรูปหลักสูตรในหลายประเทศ โดยมีจุดร่วมกันสำคัญ 3 ประการ คือ 1) ต้องมีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจนในรูปแบบที่ต้องการพัฒนาเด็กให้โตขึ้นแบบไหน เช่น สก๊อตแลนด์อยากเห็นเด็กในประเทศเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจ ก็จะดีไซน์หลักสูตรให้เป็นตามนั้น  2) มีการปรับปรุงหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนามจะมีการปฏิรูปหลักสูตรทุก 3-5 ปี และ 3) หลักสูตรปัจจุบันจะเน้นการสร้าง “ทักษะ” มากกว่ายัดเยียด “เนื้อหา” เช่น อเมริกาเน้นการพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในกลุ่มทักษะอาชีพที่ปรับรูปแบบการเรียนและเนื้อหาชั่วโมงรายวิชา หรือสิงคโปร์ที่มีวิชาเรื่องเศรษฐศาสตร์ครัวเรือน

“ซึ่งจัดให้เด็กที่มุ่งสู่มหาวิทยาลัย และเด็กมุ่งสู่อาชีพเรียนชั่วโมงไม่เท่ากัน และยังมีเงื่อนไขส่งเสริมว่าการปฏิรูปหลักสูตรนั้นจะประสบความสำเร็จได้ยังขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ 1) ความมีส่วนร่วม 2) การให้อิสระในการบริหารจัดการพื้นที่ และ 3) คุณภาพครู ซึ่งเมื่อประมวลกรณีศึกษาจากหลายประเทศพบตรงกันว่า เป้าหมายหลักการปรับหลักสูตรจะเน้นการบริหารจัดการด้านเนื้อหาและวิชา รูปแบบวิธีการสอน และทักษะที่จะสร้างให้เกิดขึ้น” น.ส.ธันว์ธิดา กล่าว

 

 

ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน สสค.

Shares:
QR Code :
QR Code