รวมพลังเครือข่ายไม่กินหวาน ลดบริโภคน้ำตาล

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง


รวมพลังเครือข่ายไม่กินหวาน ลดบริโภคน้ำตาล thaihealth


แฟ้มภาพ


ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) มีคำแนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กลดการบริโภคน้ำตาลประเภท free sugar ลงเหลือไม่เกิน 10% จากปริมาณที่บริโภคในแต่ละวัน และแนะนำเพิ่มเติมให้ลดปริมาณลงอีกเหลือเพียงไม่เกิน 5% จากปริมาณที่เคยบริโภค หรือไม่เกิน 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน เพื่อให้มีผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น


ที่น่าตกใจ คือ สถานการณ์การบริโภคน้ำตาลของคนไทยที่เกินมาตรฐานของกรมอนามัยโลกไปมาก เพราะบริโภคสูงสุดถึง 20 ช้อนชาต่อวัน ส่งผลให้คนไทยเป็นโรคไม่ติดต่อที่เรื้อรัง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น


ทั้งนี้แหล่งที่มาของน้ำตาลอันดับแรกมาจากเครื่องดื่มและน้ำผลไม้เติมน้ำตาล ซึ่งพบว่าปริมาณน้ำตาลที่ใช้กับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มนับว่าสูงสุดในบรรดาน้ำตาลที่บริโภคทางอ้อม โดย กลุ่มเป้าหมายหลังที่บริโภคน้ำตาลในปริมาณมากคือ กลุ่มคนวัยทำงาน ซึ่งมีศักยภาพในการใช้จ่ายอาหารและเครื่องดื่มด้วยตัวเอง น้ำชา กาแฟและอาหารว่าง คือสิ่งที่กลุ่มคนวัยทำงานไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นกระแสฮิต "คอกาแฟ" ที่ต้องดื่มทุกเช้า-บ่าย แม้กระทั่งการประชุมต่างๆ ที่เห็นจนชินตา ช่วงพักเบรกจะมีการจัดชา กาแฟ และอาหารว่างให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ดื่มและรับประทาน


จากการสำรวจปี 2556 พบว่ามีผลิตภัณฑ์น้ำตาลซองวางจำหน่าย 17 ผลิตภัณฑ์ ส่วนใหญ่มีขนาดบรรจุภัณฑ์ 8 กรัม รองลงมาขนาด 6 กรัม ขณะที่การผลิตน้ำตาลซองเพื่อใช้ในโรงแรมจะมีขนาด 8 กรัมเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อดูพลังงานในการทานอาหารว่างและกาแฟช่วงพักเบรกการประชุม พบว่า สูงถึง 150-350 กิโลแคลอรี ทั้งๆ ที่นักโภชนาการแนะนำว่าอาหารว่างไม่ควรมีพลังงานไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี


กรมอนามัยมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพอนามัยของคนไทย จึงร่วมกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ทานน้ำตาลแต่พอดี อันเป็นการขับเคลื่อนมาตรการ คนไทยอ่อนหวาน ให้สำเร็จ


เริ่มจากการณรงค์ทั้งภาคประชาชน ส่วนราชการ และยังขอความร่วมมือไปยังโรงแรมที่รับจัดเลี้ยง การจัดประชุม ร้านรวมพลังเครือข่ายไม่กินหวาน ลดบริโภคน้ำตาล thaihealthอาหาร ร้านกาแฟต่างๆ ให้เปลี่ยนไปใช้ น้ำตาลซองในปริมาณที่เหมาะสม คือ 4 กรัม (เท่ากับ 1 ช้อนชา) ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานงานจัดประชุมเพื่อสุขภาพ หรือ Healthy Meeting และการขอความร่วมมือผู้ผลิตให้หันมาผลิตน้ำตาลซองขนาด 4 กรัมให้มากขึ้น ตลอดจนเสนอมาตรการ "คนไทยอ่อนหวาน" เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกด้วย


น.พ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการองค์การอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวนี้เป็นการรวมพลังของเครือข่ายด้านสุขภาพที่ร่วมกันมา ซึ่งอยากจะให้ทางภาครัฐได้เริ่มต้นก่อนเป็นตัวอย่าง เพราะจะพยายามนำเรื่องเสนอเข้าครม. ซึ่งในส่วนเนื้อหาคณะทำงานไม่ได้กดดันผู้ผลิตแต่อย่างใด ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง คือสนับสนุนให้หน่วยงาน ภาครัฐ ประชาชนหันมาใช้น้ำตาลซองขนาด 4 กรัมให้มากขึ้น และขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ผลิตน้ำตาลซองขนาด 4 กรัม เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภคด้วย


นอกจากนี้ยังต้องขอความร่วมมือไปยังโรงแรม ซึ่งจัดงานเลี้ยงหรืองานประชุม ในการจัดเครื่องดื่มและอาหารว่างในช่วงพักเบรกขอลดปริมาณน้ำตาลให้น้อยลง โดยเฉพาะการใช้น้ำตาลซองขนาด 4 กรัม นอกจากนี้ภาครัฐหรือหน่วยงานที่จัดประชุม จัดสัมมนาต้องให้ความสำคัญในการลดน้ำตาลช่วงพักเบรก ซึ่งอาจจะเป็นการขอความร่วมมือให้โรงแรมเจ้าของสถานที่ จัดให้ตามที่หน่วยงานร้องขอ หรือหน่วยงานอาจจะสนับสนุนเลือกจัดประชุมในโรงแรมที่มีการใช้น้ำตาลขนาด 4 กรัม ได้อีกด้วย


"ในส่วนผู้ผลิตเองจะได้รับอานิสงส์ เมื่อมีผู้บริโภคน้ำตาลขนาด 4 กรัมมากขึ้น ก็สามารถผลิตได้มากขึ้นตามความต้องการของสังคม เพราะที่ผ่านมาสาเหตุที่น้ำตาลดขนาด 4 กรัม มีให้เลือกน้อยในตลาด ก็เพราะมีการสั่งผลิตน้อย ผู้ผลิตหลายรายจึงไม่ได้ให้ความสนใจซึ่งทาง อย.จะขอความร่วมมือผู้ผลิตแสดงข้อมูลในซองน้ำตาลให้ชัดเจนทั้งปริมาณและวันผลิต ทั้งซองขนาดใหญ่และเล็ก เพื่อเป็นตัวที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลเป็นทางเลือกก่อนการบริโภค" เลขาธิการ อย.กล่าว


ในภาคส่วนของโรงแรมเองนั้น สุจินต์ เจียรจิตเลิศ เลขาธิการสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า ปัญหาที่พบ คือต้นทุนรวมพลังเครือข่ายไม่กินหวาน ลดบริโภคน้ำตาล thaihealthน้ำตาลซองขนาด 4 กรัมเท่าเดิม แต่ปริมาณน้ำตาลลดลง หรือบางโรงแรมยังไม่กล้าสั่งผลิต เพราะยังไม่มั่นใจมาตรการการรณรงค์ครั้งนี้ จึงอยากให้ทำอย่างต่อเนื่อง และในส่วนผู้ผลิตเองก็ไม่กล้าผลิตน้ำตาลซองขนาด 4 กรัมให้ทางโรงแรมเพราะกลัวเราหยุดสั่งผลิต เป็นต้น


อย่างไรก็ตามสมาคมโรงแรมไทยยินดีให้ความร่วมมือ เพราะสมาคมฯ อยากให้คนมีสุขภาพดี และพร้อมช่วยสนับสนุนการรณรงค์ครั้งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าวิธีการรณรงค์ ควรทำให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้การยอมรับ มากกว่าใช้วิธีการบังคับ และต้องทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือก เพราะนิสัยคนไทยชอบเลือกอยู่แล้ว


"เครื่องดื่ม เช่น กาแฟ เราสามารถทำให้หวานน้อยลงหลายกรรมวิธี เช่น ลดปริมาณกาแฟ ลดน้ำตาล ลดน้ำเปล่า ให้เหมาะสมตามสัดส่วน แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ คือคนไทยไม่ชอบกาแฟขมก็ไปแก้ขมด้วยการเพิ่มน้ำตาลเข้าไปกลบรสขม แทนที่จะใส่กาแฟให้น้อยลง ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนค่านิยมในการใช้ด้วย" สุจินต์ กล่าว


ทั้งนี้ทางสมาคมโรงแรมไทยก็จะขอความร่วมมือไปยังโรงแรมเครือข่ายในการร่วมจัดคอฟฟี่เบรก เพื่อสุขภาพ หรือในส่วนของอาหารว่างแคลอรีน้อย เพื่อช่วยสร้างค่านิยมคนไทยลดกินหวานลง


ส่วน กรรณิการ์ ชินประสิทธิ์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารตราสินค้า บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แบล็คแคนยอนในประเทศไทย มีจำนวน 280 สาขาพร้อมจะเข้าร่วมการณรงค์การบริโภคน้ำตาลให้น้อยลงในครั้งนี้ ซึ่งปกติทางร้านจะใช้น้ำตาลซองบริการลูกค้าเกิน 4 กรัม


"อย่างไรก็ดี หลังจากนี้แบล็คแคนยอนจะนำน้ำตาลซองขนาด 4 กรัมเข้าไปเป็นทางเลือกให้ลูกค้า เพราะเห็นว่าน้ำตาลขนาด 4 กรัม เหมาะกับเครื่องดื่มร้อนมากกว่า เพราะในเครื่องดื่มเย็นจะมีสูตรลดความหวานอยู่แล้ว แบล็คแคนยอนยินดีนำข้อมูล ข่าวสาร การลดการบริโภคน้ำตาลไปประชาสัมพันธ์ภายในองค์กรและร้านทุกสาขา


ความพยายามสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคครั้งนี้ จึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกๆ ฝ่าย และใช้ทุกๆ กลไก เพื่อให้เกิดความสำเร็จให้ได้

Shares:
QR Code :
QR Code