รพ.สต.กับงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีประเด็นมุ่งเน้นการปรับปรุงระบบบริการสาธารณสุข ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการยกระดับสถานีอนามัยขึ้นเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และส่งเสริมบทบาทของท้องถิ่นให้เข้ามาร่วมผลิตบุคลากรสาธารณสุข เพื่อสร้างความผูกพันให้กลับไปทำงานในท้องถิ่น

รพ.สต.กับงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการส่งเสริมบทบาทและพัฒนาศักยภาพ อสม. ให้มีส่วนร่วมในระบบสุขภาพมากยิ่งขึ้น นโยบายดังกล่าวได้รับการขานรับจากผู้คนในแวดวงสุขภาพอย่างเป็นระบบ โดยถือว่าเป็นยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบสุขภาพ ที่มุ่งปรับเปลี่ยนน้ำหนักงานจากรักษาพยาบาลแบบตั้งรับ มาเน้นการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน

ซึ่งคาดหวังว่าจะมีผลทำให้ระบบบริการสุขภาพในภาพรวม มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปริมาณผู้ป่วยที่ไปใช้บริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ลดลง นำไปสู่การลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางของประชาชน อีกทั้งเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติในระยะยาว ที่สำคัญคือ การลดทุกขภาวะของบุคคล ครอบครัว และชุมชน

รพ.สต.กับงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

การทำงานชุมชนของ รพ.สต. เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ด้วยการวางแผนเชิงรุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ต้องดูแลอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบที่ต่อเนื่องนั้น ทีมบริการปฐมภูมิมักมีเป้าหมายการดูแลสุขภาพที่มุ่งเน้นการเข้าถึง กลุ่มคนจน คนทุกข์คนยาก คนเจ็บป่วย และคนพิการ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า “คนพิการ” อาจมิได้มีแค่ความพิการ แต่อาจมีโรคเรื้อรัง หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย

รวมถึง ยังมักเป็นคนยากจนที่อาศัยตามพื้นที่ชายขอบของชุมชน ซึ่งการทำงานเชิงรุกเท่านั้นจึงจะเปิดโอกาสให้มีทางใกล้ชิดกับชาวบ้านมากขึ้น และค้นพบเข้าใจปัญหา จนถึงให้ความช่วยเหลือดูแลสุขภาพคนพิการได้อย่าง
เหมาะสม และยังทำให้สามารถสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพคนพิการได้อย่างกว้างขวางอีกด้วย

ซึ่งนอกเหนือจากการเติมทรัพยากรที่จำเป็นลงไปในหน่วยบริการแล้ว การเติมเต็มความรู้ที่ว่าด้วยวิธีการหรือเทคนิคการดูแลสุขภาพคนพิการ รวมทั้งการทำความเข้าใจบริบทที่เกี่ยวข้อง จนสามารถเชื่อมโยงทรัพยากรและ
สถานบริการในระดับปฐมภูมิและ/หรือทุติยภูมิ ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

แนวทางปฏิบัติแก่ รพ.สต.ในการทำงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ ที่ได้มาจากการจัดการความรู้จากเรื่องเล่าที่เคยมีบันทึกไว้ และจากประสบการณ์จริงของคนทำงานในพื้นที่ มาถ่ายทอดสู่ผู้อ่านชาวหมออนามัยกัน ด่านแรกในการทำงานคนพิการที่ รพ.สต. = รับรู้ เข้าใจ “ความพิการ” “คนพิการ”

รพ.สต.กับงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

“ความพิการ” อาจถูกอธิบาย ให้ความหมาย หรือสร้างคำจำกัดความ ผ่านมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย อาทิ มุมมองทางการแพทย์ หรือ medical model of disability อธิบายว่า ความพิการเป็นผลพวงของการมีพยาธิสภาพของโรคหรือการบาดเจ็บ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ก่อให้เกิดร่องรอยที่เป็นความบกพร่อง (impairment) ของอวัยวะหรือร่างกาย ซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสียความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ (disability) จนหมดโอกาสหรือกลายเป็นผู้ด้อยโอกาสในสังคม (handicapped)

กล่าวโดยสรุป มุมมองนี้ เห็นว่าความพิการเป็นปัญหาของบุคคล การแก้ไขปัญหาจึงเน้นที่การจัดบริการส่วนบุคคลให้เพียงพอ ขณะที่มุมมองทางสังคม หรือ social model of disability อธิบายว่า ความพิการ เกิดจากการที่สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ ในสังคมไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม จึงไม่ตอบสนองต่อความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ ดังนั้น จึงมองว่าความพิการเป็นปัญหาทางสังคม การแก้ปัญหาจึงให้ความสำคัญกับการ
จัดการกับสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างๆ ทางสังคม

สำหรับสังคมที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและการพิทักษ์สิทธิขั้นพื้นฐาน มักอาศัยเงื่อนไขทางกฎหมายเป็นเครื่องมือกำหนดสิทธิและการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล ประเทศไทยเรามีพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ที่ในมาตรา 4 ได้อธิบายความหมายคนพิการ ว่าหมายถึง คนที่มีข้อจำกัดของความสามารถในการดำรงชีวิต เช่น่ การทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐาน การเดินหรือเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยตนเอง การสื่อสารกับผู้อื่น ตลอดจนการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมตามวัยและสถานะของตน ซึ่งข้อจำกัดนี้ เกิดจากการมีความบกพร่องของร่างกาย อารมณ์ หรือสติปัญญา หรือการมีภาวะบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังบางอย่าง

ซึ่งเป็นการกำหนดจากมุมมองที่เป็นบูรณาการ bio–psychosocial model of disability แต่การจำแนกความพิการเป็นประเภทต่างๆ ยังคงตั้งอยู่บนมุมมองด้านการแพทย์ คือ ตามลักษณะความบกพร่องของการทำงานของร่างกาย เพื่อง่ายต่อการประเมินและวินิจฉัยความพิการ (ตามประกาศกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง ประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 29 พฤษภาคม 2552)

รพ.สต.กับงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

การทำความเข้าใจ “ความพิการ” อย่างที่คนพิการเองคิดและรับรู้ จึงนับเป็นด่านแรกที่สำคัญมาก เพราะส่วนใหญ่ ความพิการที่เจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพรับรู้และเข้าใจ มักจะมาจากการจัดจำแนกและการให้ความหมายจากมุมมองทางการแพทย์และทางกฎหมายเป็นสำคัญ ขณะที่ในชีวิตประจำวันของคนพิการที่เขาดำรงอยู่ เขาย่อมมีความคิดความเชื่อและแบบแผนของวิธีคิดวิธีปฏิบัติ หรือที่เรียกว่าวัฒนธรรมสุขภาพที่มาจากมุมมองของเขาเอง และอาจจะแตกต่างจากที่คนอื่นมองก็ได้ ซึ่งการดูแลสุขภาพจะตอบสนองความเป็นมนุษย์และความมีตัวตนของคนพิการได้แค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจวิธีคิดและมุมมองของคนพิการเองเป็นอย่างมาก

วิธีการทำความเข้าใจ “ความพิการ” ในมุมมอง“คนพิการ”

“ตาเคน” พิการขาหักต้องใส่เหล็กดามไว้ทั้งสองข้าง แต่ด้วยความยากจนเลยต้องทำงานหนัก จนน็อตที่ฝังอยู่ในขาแทงออกมาเป็นแผลเรื้อรังต้องรักษากันนาน และแกยังมีปัญหาตาพิการจากอุบัติเหตุแก๊สอัดลูกโป่งระเบิดตามมา ซึ่งถือว่าเป็นความพิการซ้ำซ้อน แต่ตาเคนกลับมองความพิการของตัวเอง ว่าเป็นแค่เพียงการสูญเสียนัยน์ตาไปข้างเดียว ไม่ได้เป็นความพิการ เพราะยังมีตาอีกข้างหนึ่งเหลือไว้ให้ อีกทั้งยังทำหน้าที่ในครอบครัวได้เป็นปกติ

กรณีศึกษา ตาเคน เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง การรับรู้เข้าใจของคนพิการที่มีต่อความพิการของตัวเขาเอง ซึ่งเป็นมุมมองที่แตกต่างจากมุมมองทางการแพทย์อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น ผู้ให้บริการอาจหาวิธีการทำความเข้าใจมุมมองของคนพิการ ดังเช่น การทำ “ประวัติชีวิต” ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับคนพิการโดยตรง ให้เขาสามารถสะท้อนมุมมองที่เขามีต่อชีวิตเขาแต่ละช่วงได้อย่างอิสระ สามารถบอกเล่าความรู้สึกนึกคิดผ่านการเล่าประวัติชีวิตของตนเอง

รพ.สต.กับงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

การลงเยี่ยมคนพิการที่บ้านและชวนพูดคุยถึงประวัติชีวิตของคนพิการ เพื่อเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของคนพิการ นอกจากนั้น ประวัติครอบครัวและเครือญาติ สภาพบริบทแวดล้อมที่อยู่อาศัย และการพึ่งพากันในครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจด้วย บางกรณีอาจเป็นคนใกล้ชิดที่เป็นผู้ให้ข้อมูล โดยเฉพาะคนพิการที่เป็นผู้สูงอายุ หรือเด็ก หรือคนพิการทางจิตและสติปัญญา ซึ่งก็ควรใช้การสังเกตและการตรวจสอบข้อมูลจากหลักฐานอื่นหรือบุคคลที่สามด้วย

ในกรณีคนหูหนวกอาจใช้ภาษาท่าทางร่วมกับการเขียนเป็นเครื่องมือช่วยการสื่อสาร หากมีล่ามภาษามือ ซึ่งอาจติดต่อขอความร่วมมือได้จากพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัด ศูนย์การศึกษาพิเศษ หรือโรงเรียนสอนคนหูหนวก หรือสมาคมคนหูหนวกประจำจังหวัด ก็จะช่วยให้การสื่อสารง่ายขึ้นมาก

ดังนั้น การทำความเข้าใจ “ความพิการ” อย่างที่คนพิการเองคิดและรับรู้ รวมทั้งให้ความหมายกับความพิการของตนเอง จึงนับเป็นด่านแรกที่สำคัญมากสำหรับคนในสังคมส่วนใหญ่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จึงเกิดขึ้นมา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมบทบาทของบุคลากรสาธารณสุข และคนในท้องถิ่น ให้เข้าใจผู้พิการมากยิ่งขึ้น…
 

ที่มา: วารสารหมอชาวบ้าน สถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ

Shares:
QR Code :
QR Code