รณรงค์ส่งเสริมเด็กไทย ‘โตไปฟันไม่ผุ’

กรมอนามัย ประกาศเป้าหมายในที่ประชุมทันตแพทย์โลก ตั้งเป้า พ.ศ.2569 ใหม่โตไปฟันไม่ผุตั้งแต่แรกเกิด


รณรงค์ส่งเสริมเด็กไทย ‘โตไปฟันไม่ผุ’ thaihealth


แฟ้มภาพ


ทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชุมทันตแพทย์โลก (FDI World Dental Congress) ประจำปี 2558 ว่า กรมอนามัยได้ลงนามความร่วมมือกับเครือข่ายความร่วมมือนานาชาติเพื่อการปราศจากฟันผุในอนาคต โดยได้ประ กาศเป้าหมายให้เด็กที่เกิดตั้งแต่แต่ปี 2569 เป็นต้นไป ต้องปราศจากฟันผุตลอดช่วงชีวิต โดยประเทศต่างๆ จะร่วมกันรณรงค์กันให้ความรู้และทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเรื่องวิทยาการในปัจจุบันที่มั่นใจได้ว่าโรคฟันผุป้องกันได้


หากมีการวินิจฉัยเบื้องต้นที่ละเอียดพอ จะสามารถสะกัดกั้นโรคไม่ให้ลุกลามจนกลายเป็นรูผุได้ เนื่องจากฟันผุเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอยฟันผุในระยะแรกสามารถกลับคืนสู่ฟันปกติได้หากมีการดูแลแต่เนิ่นๆ เป็นการป้องกันและจัดการฟันผุตามระยะการเกิดรอยโรค ซึ่งที่ผ่านมาทางกรมอนามัยได้มีการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทยแล้ว เช่น เชียงใหม่ ปทุมธานี เป็นต้น เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมและขยายผลต่อการดำเนินงานต่อไปในอนาคตให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศ 


ทันตแพทย์สุธา ยังกล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลสถานการณ์ปัญหาทันตสุขภาพในประเทศไทยพบว่า ในปัจจุบันคนไทยยังมีปัญหาโรคฟันผุและปริทันต์มาก เด็กไทยมีฟันผุร้อยละ 60 ผู้ใหญ่มีประสบการณ์ฟันผุร้อยละ 80 และขณะนี้ประชากรทั่วโลกมีฟันผุ 5.4 พันล้านคน หรือประมาณ ร้อยละ 80 โดยการดำเนินด้านงานทันตสาธารณสุขของประเทศไทยที่ผ่านมา มีนโยบายสนับสนุนการเข้าถึงบริการทันตกรรมของประชาชน การทำฟันฟรีในชุดสิทธิประโยชน์ของโปรแกรมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงโครงการฟันเทียมพระราชทาน และโครงการรากฟันเทียมพระราชทาน


โครงการรณรงค์ส่งเสริมการดูแลสุขภาพ ช่องปากเด็กผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน การบูรณาการในโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ การดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ส่งผลให้ลดโรคฟันผุในเด็กและลดการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า โรคในช่องปากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจ และโรค เบาหวาน และผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคในช่องปากเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะในโรคปริทันต์ ทางกรมอนามัยจึงได้ประสานกับกรมควบคุมโรคในการบูรณาการงานส่งเสริมสุขภาพช่องปากไปพร้อมกับคลินิกคัดกรองโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ในหน่วยบริการ และชุมชน40 จังหวัดนำร่อง เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 


สำหรับการประชุมทันตแพทย์โลกครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอความก้าวหน้าในการรักษาทางทันตกรรม รวมถึงการป้องกันโรคในช่องปาก และสนับสนุนให้ทุกประเทศกระตุ้นให้ประชาชน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยว ข้องทุกส่วนตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปากเพื่อให้มีสุขภาพดีในทุกช่วงวัย ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคในช่องปากคือการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม บริโภคน้ำตาลมากและถี่เกินไป การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และละเลยการทำความสะอาดช่องปาก กรมอนามัยจึงมุ่งส่งเสริมให้คนไทยมีพฤติกรรมที่เหมาะสมด้วยหลัก 3 อ. 2ส. 1ฟ. คือ อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ และดูแลทำความสะอาดฟัน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคในช่องปากรวมถึงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังด้วย” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว 


ด้าน รศ.ทพ.ประทีป พันธุมวนิช ประธานฝ่ายวิชาการและวางแผน โครงการประสานความร่วมมือเพื่อสังคมไทยไร้ฟันผุ (The Alliance for a Cavity-Free Future หรือ ACFF) และอดีตคณบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้กล่าวว่า "ทางองค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ได้แนะนำให้ประเทศสมาชิกได้มีการส่งเสริมเรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน โดยเฉพาะโรคฟันผุที่เกิดขึ้นในเด็ก จึงทำให้เกิด ACFF ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ มีเป้าหมายที่จะหยุดการเกิดโรคฟันผุทั่วโลก โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดทำแคมเปญรณรงค์แก้ไขปัญหาโรคฟันผุในหลายประเทศ อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน, ตุรกี, อินเดีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, รัสเซีย, ออสเตรเลีย, บราซิล ฯลฯ


สำหรับในประเทศไทยนั้นได้จัดขึ้นโดยโครงการประสานความร่วมมือเพื่อสังคมไทยไร้ฟันผุ (The Alliance for a Cavity-Free Future หรือ ACFF-Thailand) ภายใต้ความร่วมมือของสำนักทันตสาธารณสุข, สำนักอนามัย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ, เครือข่ายผู้บริหารคณะทันตแพทย ศาสตร์แห่งประเทศไทย, ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน


โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสำคัญเรื่องการดูแลรักษาและป้องกันโรคฟันผุ ให้เป็นพันธกิจด้านสาธารณสุขระดับโลก, ส่งเสริมและผลักดันให้คณะทันตแพทย์บุคลากรด้านทันตสาธารณสุขทุกภาคส่วนได้มีเกณฑ์การตรวจและวินิจฉัย หาแนวทางป้องกันและรักษาโรคฟันผุที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และส่งเสริมให้ประชาชน และภาคีเครือข่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญ ในการป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพช่องรักษาปากและฟันในทุกช่วงวัยของชีวิต อาทิ โครงการรักษาและป้องกันฟันผุแบบ SMART (รักษาฟันผุโดยไม่ใช้เครื่องกรอฟัน) สำหรับเด็กอายุ 0-5 ปี ซึ่งได้มีการเปิดตัวและทำการดูแลป้องกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป และยังมีโครงการอื่นๆ อีกหลายโครงการ


“ทั้งนี้เพื่อให้คนไทยจะได้มีสุขภาพฟันที่ดีในทุกช่วงวัยของชีวิต และบรรลุเป้าหมายสำคัญตามที่ทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยได้ตั้งไว้คือเด็กที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ.2026 (หรือ พ.ศ.2569) จะต้องปราศจากรูฟันผุครับ" รศ.ทพ.ประทีป กล่าวทิ้งท้าย


 


 


ที่มา : เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ


 

Shares:
QR Code :
QR Code