มาตรการ3เก็บ ป้องกัน"ไข้เลือดออก"

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


มาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน“ไข้เลือดออก” thaihealth


แฟ้มภาพ


“สำนักงานสาธารณสุข เชียงใหม่” แนะอย่าลืมมาตรการ 3 เก็บ ในการกำจัดลูกน้ำยุงลายทุกสัปดาห์ เพื่อป้องกัน 3 โรค โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่โรงเรียน ศาสนสถาน สถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก บ้าน ที่ทำงาน และโรงพยาบาล


นางกุลวดี สวัสดี หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรค กล่าวว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกันกำจัดลูกน้ำยุงลายทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง ป้องกันบุตรหลานและคนในครอบครัวเจ็บป่วยและเสียชีวิต 3 โรค ได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย จากการเฝ้าระวัง และการวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ารายงานตั้งแต่ 1 ม.ค. – 6 ก.พ. 60 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก 41 คน ไม่พบผู้เสียชีวิต โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มอายุ 25-34 ปี รองลงมาคืออายุ 15-24 ปี อายุ 10-14 ปี อายุ 5-9 ปี และ 55-64 ปี ตามลําดับ


มาตรการป้องกันโรคที่ดีที่สุด การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยใช้มาตรการ 3 เก็บ คือเก็บบ้านให้โล่ง อากาศปลอดโปร่งไม่ให้ยุงเกาะพัก เก็บขยะ เศษภาชนะ ไม่ให้มีที่เพาะพันธุ์ยุง และที่เก็บน้ำ ควรปิดฝาภาชนะให้มิดชิด หรือเปลี่ยนถ่ายน้ำไม่ให้ยุงลายวางไข่ ทำต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน ศาสนสถาน สถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก โรงพยาบาล รวมทั้งการกำจัดยุงลายตัวเต็มวัยภายในบ้าน ร่วมกับการป้องกันไม่ให้ยุงกัด ใช้ยาทากันยุงนอนกางมุ้งจะช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้


โรคไข้เลือดออก เป็นได้ในทุกกลุ่มอายุ โดยพบมากในช่วงอายุ 5-10 ปี อาการส่วนใหญ่มักจะมีไข้สูง ไข้ไม่ลด นอนซม เด็กโตจะปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ซึ่งพบได้ในผู้ใหญ่เช่นเดียวกัน ในระยะไข้นี้บางรายอาจมีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งในระยะแรกจะปวดทั่วๆไป และอาจปวดที่ชายโครงขวา หากมีไข้สูง ให้กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ อย่าซื้อยาแก้ปวดที่มีระคายเคืองกระเพาะอาหาร เช่น แอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะเสี่ยงเลือดออกในกระเพาะอาหารอันตรายถึงเสียชีวิต


แต่หากกินยาแล้วไข้ยังไม่ลด อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ขอให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อรับการรักษาต่อเนื่องให้พ้นระยะอันตราย และในช่วงที่ไข้เริ่มลดขอให้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะช็อกได้ โดยผู้ป่วยจะซึมลง อ่อนเพลีย อาจมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรือถ่ายอุจจาระสีดำ ขอให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที


หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่มีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ส่งผลให้เด็กเล็ก ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวเสี่ยงเจ็บป่วยที่พบบ่อยคือ โรคไข้หวัดใหญ่และ ปอดบวม ในปี 2559 จากข้อมูลงานระบาดวิทยา กลุ่มงานควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่พบผู้ป่วยทั้ง 2 โรครวมกันจำนวน 22,274 ราย โดยโรคไข้หวัดใหญ่พบผู้ป่วย 11,793 ราย โรคปอดบวม พบผู้ป่วย 10,481 ราย ซึ่งในเดือน ม.ค.60 พบผู้ป่วยทั้ง 2 โรคกว่า 1,579 ราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ย้ำเตือนให้ความรู้ประชาชน ในการป้องกันการเจ็บป่วย และขอให้โรงพยาบาลทุกแห่งดูแลรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานการรักษา รวมทั้งป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาหลังการป่วย


นางกุลวดี กล่าวต่อว่า ไข้หวัดใหญ่ เชื้อจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอหรือจาม หรือเชื้อติดมากับมือ อาการของโรคมักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอ ไข้มักเป็นอยู่ 2-4 วันและค่อยๆ ลดลง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ส่วนโรคปอดบวมอาการและการแพร่เชื้อจะคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่จะพบบางรายมีไข้สูง หนาวสั่น และไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียวรวมถึงหายใจเหนื่อยหอบร่วมด้วย


สำหรับการป้องกันการเจ็บป่วย ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ขอให้ประชาชน ยึดหลักสุขอนามัยที่ดี หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หลีกเลี่ยงคลุกคลีกับผู้ป่วย ไม่ใช้ของร่วมกับผู้ป่วย ไม่อยู่ในที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดี มีมลพิษ หรืออากาศเย็นจัดเป็นเวลานาน สวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8  แก้ว หากสงสัยป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ปอดบวมหรือป่วยเกิน 48 ชั่วโมง อาการไม่ดีขึ้น เหนื่อยง่าย และอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาป้องกันภาวะแทรกซ้อนโรค

Shares:
QR Code :
QR Code