‘มังกรสลัดเกล็ด’ ละครชีวประวัติ “อ.ป๋วย”

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


‘มังกรสลัดเกล็ด’ ละครชีวประวัติ


เติมพลังคนทำงาน ผ่านละครชีวประวัติ "อ.ป๋วย"  ซึ่งมีบทบาท วีรกรรม แนวคิด อุดมการณ์ ปรัชญาและเกียรติภูมิ ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประเทศ


ต้องปรบมือให้ด้วยความชื่นชม กับละครเพลงร่วมสมัยที่ไม่ได้เป็นรองใคร "มังกรสลัดเกล็ด" (ฉบับพิเศษ) โดยกลุ่มละครอนัตตา ที่แสดงจบลง สามารถสะกดคนดูให้เข้าถึงเรื่องราวที่สร้างจากชีวประวัติ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หนึ่งในปัญญาชนสยามผู้มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และมีคุณูปการต่อสังคมไทยในหลายด้าน ถือเป็นการร่วมรำลึกถึงบทบาท วีรกรรม แนวคิด อุดมการณ์ ปรัชญาและเกียรติภูมิ ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประเทศรวมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้ยุวชนรุ่นต่อๆ ไป


นอกจากการรับชมละครเวทีครั้งนี้แล้ว องค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มคนทำงาน เครือข่ายพ่อแม่ผู้ปกครอง นักเรียน นักศึกษา ยังได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและถอดบทเรียน ผ่านเวทีพูดคุย "เติมพลังคนทำงานผ่านละคร" หัวข้อ "อุดมคติคนทำงานเพื่อสังคมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือสสส. ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองจากผู้มีประสบการณ์ เพื่อช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ด้วยความสุข


"ป้ามล" ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก สะท้อนแง่มุมผ่านการดูละครไว้ว่า การมาดูละคร วันนี้เหมือนกับการมารับพลัง ได้แรงบันดาลใจ ละครถูกปรุงแต่งให้กระชับ มีบทพูด มีเฉพาะฉากที่สำคัญของชีวิต เร้าความรู้สึกของผู้ชมได้เป็นอย่างดี จะเห็นว่าบางช่วงของละครจะมีทั้งความสุขความทุกข์ เขย่าความรู้สึกคนดูอย่างมาก เหมือนเป็นพันธสัญญาที่ต้องพยายามรักษาไว้ซึ่งกำลังคิดว่าในความจริง เราจะทำอย่างไรให้สิ่งต่างๆ หมุนไปได้โดยที่ไม่มีการถูกครอบงำ


"ป้าได้แง่คิดหลังจากดูละคร คือ คนตายได้ แต่ความคิดไม่ตาย รวมถึงอาจารย์อีกหลายๆ คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ความคิดของเขาไม่เคยตาย แต่เขาปลุกคนรุ่นหลัง วันนี้เราดีใจที่ได้มาเห็นเงาของอ.ป๋วย ผ่านตัวละคร ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดที่ไม่เคยตาย คนดูละครน่าจะรู้จัก อ.ป๋วย มาแล้วไม่น้อย เคยตามอ่านหนังสือ อ.ป๋วย ยิ่งได้มาดูละครก็มีต้นทุนระดับหนึ่งช่วยปลุกเร้าความรู้สึกฮึกเหิม อ.ป๋วยท่านมีความคิดอุดมการณ์ตั้งแต่วัยหนุ่มจนลมหายใจสุดท้าย"


"ป้ามล" ระบุด้วยว่า ละครสะท้อนมุมมองของคนทำงานได้เป็นอย่างดี หากเราทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตต่อภารกิจของเรา อย่าทิ้งสาระสำคัญที่ละครนำมาใส่เอาไว้ ขอให้นำตัวละครไปสะท้อนกับตัวเอง รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ละเลย ไม่พลั้งเผลอ ไม่เพิกเฉย เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม


อย่างไรก็ตาม การดูละครครั้งนี้ทำให้ได้เติมพลังกลับไปทำหน้าที่เพื่อไปขับเคลื่อนงานต่อ ซึ่งละครศิลปวัฒนธรรมแบบนี้ควรมีการสนับสนุน เช่น มีกองทุนมาวางไว้ ดีกว่าเอาเงินไปสร้างป้ายโฆษณาสวยๆ ติดตามบ้านเมืองโดยไม่เกิดประโยชน์และไม่มีพลังอะไรเลย อีกทั้งน่าเสียดายที่ละครแบบนี้มีพื้นที่ที่แคบ ซึ่งคนในต่างจังหวัดไม่มีโอกาสได้เสพหรือเข้าถึง


ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ อธิบายว่า ละครเรื่องนี้ได้แง่คิดชัดเจนมาก คือ คำว่า อุดมคติ ที่ไม่ใช่คำเลื่อยลอย ซึ่งอุดมคติมันต้องเชื่อมโยงกับประเด็นความเป็นธรรมทางสังคม คือ การทำให้คนในสังคม คนทุกกลุ่มได้ในสิ่งที่เขาอยากจะได้มากที่สุด จริงๆ เวลาที่คนนึกถึงอ.ป๋วย เราไม่ได้นึกถึงแค่ว่าอ.ป๋วยเป็นคนดี แต่เรานึกถึงอ.ป๋วยในฐานะที่เป็นอาจารย์ พยายามทำให้สังคมเกิดความเป็นธรรม และในตัวละครก็จะมีการอ่านเอกสาร "คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน"  ก็จะมีการพูดเรื่องความต้องการของชาวนา อยากจะมีสหกรณ์ การสร้างค่าแรงที่เป็นธรรม ดังนั้นสิ่งที่คนจำ อ.ป๋วยมากที่สุดคือข้อเขียนชิ้นนี้ คนไม่ได้จำ อ.ป๋วย ในฐานะผู้ว่าการแบงก์ชาติ หรือในฐานะอาจารย์ธรรมศาสตร์ แต่เขาจำในฐานะที่ท่านเขียนเรื่อง ความหวังของคนตั้งแต่เกิดจนตายคนคาดหวังอะไร


‘มังกรสลัดเกล็ด’ ละครชีวประวัติ "จุดเด่นของอ.ป๋วยที่คนจำได้เนื่องจากมีคนรุ่นหนึ่ง ที่ตระหนักต่ออุดมคติ ความเป็นธรรมทางสังคม และการมีนโยบายสาธารณะที่ตอบโจทย์ของคนแต่ละกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก ดังนั้นความดีของ อ.ป๋วย ไม่ใช่ความดีแบบลอยๆ แต่ยึดโยงกับการตอบสนองหรือการสร้างสังคมที่ตอบโจทย์คนแต่ละกลุ่มได้ ดังนั้นสิ่งที่น่าจะต้องเกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา คือ การพูดถึงคนธรรมดาที่มีอุดมคติอย่างอ.ป๋วย ให้มากขึ้น เพราะสังคมเรา เมื่อพูดถึงใครก็จะยกคนดังๆ คนที่ไม่ธรรมดา เช่น คนที่มีตำแหน่งทางสังคม คนที่มีชื่อเสียง แต่ไม่ให้ความสำคัญกับคนธรรมดา" นักวิชาการผู้นี้ กล่าว


จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ให้มุมมองว่า หากสะท้อนคนทำงาน หรือองค์กรพัฒนาเอกชนอย่างเรา มีหลายครั้งที่เรารักษาแนวคิดตรงนี้ไว้ไม่ได้ จะเห็นว่าอ.ป๋วยนึกถึงคนยากคนจนตลอดเวลา และท่านมีอิทธิพลสูงมากในกลุ่มนักศึกษา ความดีงามที่อ.ป๋วยพยายามทำ ทั้งการแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาเชิงโครงสร้าง ถือเป็นสิ่งที่น่ายกย่องชื่นชม


"ถ้าหากดูละครเรื่องนี้มันสะท้อนว่ามนุษย์มีความหวังที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ถึงจะอยู่ในภาวะที่มืดมน แต่เชื่อว่าในภาวะที่มืดมนนั้น ก็ยังมีความหวัง ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ และในฐานะปัญญาชน อุดมคติเป็นสิ่งสำคัญของคนทำงานทางสังคม เราควรจะมีจุดยืนและต้องคิดว่า ตัวเองทำงานตรงจุดนี้เพื่ออะไร และคิดว่าทำไปแล้วมีความสุขหรือไม่ เพราะหากไม่มีความสุข ก็จะมีปัญหาตามมา ซึ่งอ.ป๋วยมีความสุขกับงานที่ท่านทำและเลือกที่จะอยู่แบบนี้"


เขาระบุด้วยว่า องค์กรพัฒนาสังคมหรือคนทำงานอย่างเรา มักจะมีทั้งสุขและทุกข์ เพราะต้องต่อสู้กับความคิดความชอบหรือไม่ชอบของผู้คน เพื่อจะทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นละครแบบนี้ถือเป็นการให้คนทำงานได้เสพงานศิลปวัฒนธรรม ได้เข้าใจเข้าถึง ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่ต้องมีแหล่งทุนสนับสนุน ทำให้เป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นกองทุนเพราะสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ เกิดแนวคิดใหม่ๆ ที่สำคัญไม่ฉาบฉวย เพราะเป็นศิลปวัฒนธรรมทางความคิดที่จะสานต่อไปยังรุ่นสู่รุ่นได้


ท้ายนี้ "ตั้ว" ประดิษฐ ประสาททอง ผู้กำกับ ผู้เขียนบทและนักแสดง ที่เรียงร้อยเรื่องราวจากชีวิตจริงของอ.ป๋วยได้ครบรสหลากหลาย ฝากแง่คิดไว้อย่างน่าสนใจ ว่า จริงๆ แล้วการทำละครนั้นไม่ยาก แต่การทำละครให้ตรงกับความคิดคนดูนั้นทำยาก เพราะเราต้องมานั่งคิดว่า ทำอย่างไรที่เราจะทลายกรอบความคิดที่ยึดติดของคนได้ เชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงของคน เวลาที่เราสร้างละครขึ้น เราต้องการจุดประกายเพื่อให้เกิดการคิดต่อ ตัวละครเกิดการปรุงแต่งขึ้นเพื่อให้เกิดอรรถรสในการชม ซึ่งเราก็จะไม่ไปบิดเบือนประวัติศาสตร์


ผู้กำกับละคร ทิ้งท้ายว่า ที่ผ่านมาเราพยายามประสานทุกภาคส่วนให้เข้ามาสนับสนุนละครแนวนี้ แต่ก็จะได้การสะท้อนกลับมาในแนวที่ว่า ต้องเล่นในโรงใหญ่ๆ เพื่อให้เข้าถึงทุกกลุ่ม แต่เรากลับมองว่า กิจกรรมเล็กๆ ก็สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้ เพราะเมื่อเป็นกิจกรรมขนาดเล็กเราสามารถลงในรายละเอียดได้


ดังนั้นงานนี้จึงไม่มีองค์กรใดให้การสนับสนุนหลัก แต่เราจะใช้วิธีลงขันเอง พอเราผลิตละครออกมาเป็นชิ้นงานได้แล้ว ก็นำโปรเจกท์ไปเสนอให้แก่องค์กรที่สนใจและเห็นดีเห็นงามซึ่งการทำละครทำให้ได้ข้อคิดว่า "อย่าไปยอมจำนนด้วยวิธีเดียว ถ้าคิดว่าสู้แบบนี้ไม่ได้ก็ต้องหาวิธีอื่น เพื่อนำไปสู่ฝันให้ได้ ทำในสิ่งที่อยากทำและต้องสู้จนเกิดขึ้นให้ได้"


ละครชีวประวัติเรื่องนี้ ไม่เพียงจะรำลึกถึงอ.ป๋วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ปลูกฝังอุดมคติ จริยธรรมทางความคิดของคนทำงาน เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมีคุณภาพต่อไป ที่สำคัญคือการยืนหยัดในจุดยืนที่ถูกต้องท่ามกลางความขัดแย้งสับสนอย่างรุนแรงในสังคมไทย

Shares:
QR Code :
QR Code