มหัศจรรย์ “นมแม่”

การเริ่มต้นชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย

 

            แม้จะผ่านพ้น วันแม่แห่งชาติไปแล้ว แต่บรรยากาศของวันแม่ยังคงอบอวลไปทั่ว ซึ่งการรำลึกถึงพระคุณแม่ และดูแลคุณแม่เพื่อตอบแทนพระคุณนั้น สามารถทำได้ทุกวัน เพราะแม่มีพระคุณที่ไม่อาจหาคำใดมาเปรียบได้ ตั้งแต่เดือนแรกที่อยู่ในครรภ์จนถึง 9 เดือน จนกระทั่งเมื่อเราลืมตาดูโลกแม่ก็ยังคงมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูกสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ลูกได้ดื่ม นมแม่

มหัศจรรย์ “นมแม่” 

            การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย นมแม่เป็นทั้งอาหารกาย อาหารสมองและอาหารใจให้แก่ลูก ขณะที่ดูดนมแม่ลูกจะได้สัมผัสความรักความอบอุ่นในอ้อมกอดของแม่ ก่อเกิดเป็นสายใยรักแห่งครอบครัวขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

          องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว อย่างน้อย 6 เดือน และให้เลี้ยงควบคู่กับอาหารตามวัยจนลูกอายุครบ 2 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เด็กที่ได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเต็มโดยที่ไม่ได้อาหารอื่นแม้กระทั่งน้ำ จะทำให้เด็กเจริญเติบโตทั้งร่างกาย จิตใจ มีสมองที่ฉลาด อารมณ์ดี อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เนื่องจากนมแม่มีสารอาหารครบถ้วนและมีมากกว่า 200 ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของลูกโดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด”น้ำนมเหลือง” หรือ”โคลอสตรัม” ของแม่จะเป็นภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อให้แก่ลูกได้เป็นอย่างดี

 

            นอกจากนี้ การโอบกอด การพูดคุยขณะให้นมลูกวันละ 8-10 ครั้ง ยังเป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำให้เด็กฉลาด มีระดับสติปัญญาดีกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ถึง2-11 จุด เด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่จะมีอารมณ์ดี เพราะรู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคง ปลอดภัย มีความอดทนอดกลั้น รู้จักรอคอย ไม่งอแง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมที่จะแบ่งปันความรักให้กับผู้อื่น และมีพัฒนาการสมวัย ที่สำคัญการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก แม่จะมีความรู้สึกถึงความเป็นแม่มากขึ้น ทำให้แม่ไม่ทอดทิ้งลูก นอกจากนี้การให้ลูกดูดนมแม่ยังช่วยลดการเสียเลือด และช่วยลดน้ำหนักของแม่หลังคลอดอีกด้วย

 

            ศ.แพทย์หญิงชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า ทารกเกิดมาต้องการพัฒนาการทั้งด้านกาย ใจ อารมณ์ สังคมและปัญญา เป็น 5 องค์ประกอบหลัก และช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารและสร้างสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นจึงเป็นช่วงการให้นมลูก นมแม่จึงเปรียบเหมือน อาหารวิเศษจากผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ได้บ่งบอกว่าพฤติกรรมเด็กจะมีความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมของแม่ เพราะฉะนั้นหากแม่หงุดหงิด ลูกก็จะรับรู้สัมผัสได้ และส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาการของสมองต่อไป

 

           ตาที่มองแม่ ลิ้นที่สัมผัสนมแม่ หูที่ได้ยินเสียงแม่พูดคุย เด็กจะรับรู้และสัมผัสได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยพัฒนาสมองของเด็ก ดังนั้น การให้นมแม่จึงไม่ใช่การได้รับคุณค่าทางอาหาร ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งระบบการหายใจ ลำไส้ และฮอร์โมนที่นมทั่วไปไม่มีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรับความอบอุ่นทางจิตใจเพิ่มเข้าไปอีกด้วย ดังนั้น ทารกแรกเกิดจึงจำเป็นต้องดื่มนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน โดยตัวแม่เองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจด้วยศ.แพทย์หญิงชนิกา กล่าว

 

            ถึงแม้นมแม่จะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และด้วยความสะดวกสบายผลิตภัณฑ์นมผง จึงเข้ามาแทนที่นมแม่ โดยหารู้ไม่เลยว่าคุณได้โยนทิ้งสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตลูกของคุณทิ้งไป…จากการสำรวจคุณแม่ในประเทศไทย พบว่า มีแม่ที่ให้นมลูกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนต่อเนื่องเพียง 5.4% เท่านั้น ขณะที่มีแม่ให้ลูกดื่มนมผสมสลับกับดื่มนมแม่มีประมาณ 25%

 

            หากปล่อยไว้เช่นนี้พัฒนาการของเด็กไทยคงจะล้าหลังประเทศอื่นๆเป็นแน่…

 

            ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)จึงจับมือกับศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย จัดทำ มุมนมแม่ออนไลน์ ขึ้นในโรงพยาบาลเพื่อหวังใช้สื่อโซเชียล มีเดีย เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่และพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนมแม่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของต่างจังหวัด เพราะหากคุณแม่ที่อยู่ในต่างจังหวัดมีโอกาสเข้าถึงเว็บไซต์หรือโซเชียล มีเดียที่ให้ความรู้เรื่องนมแม่มากขึ้นเท่าใด ก็น่าจะช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดีในการให้นมแม่มากขึ้นเช่นกัน โดยผู้ที่สนสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.thaibreastfeeding.org

 

            นอกจากนี้ยังมีการตั้งเป้าขยาย มุมนมแม่ออนไลน์ไปสู่ชุมชนอีกด้วย โดยยึดหลักบันได 10 ขั้น ที่สถานบริการและชุมชนสามารถเอื้อให้เกิดความสะดวกแก่การให้นม

 

          ซึ่งประกอบด้วยข้อปฏิบัติ ดังนี้ 1.  มีนโยบายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่สื่อสารกับบุคลการทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นประจำ 2.ฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคนให้มีทักษะที่จำเป็นต่อการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ 3.ชี้แจงให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนทราบถึงประโยชน์และวิธีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 4. ช่วยแม่เริ่มให้ลูกดูดนมแม่ภายในครึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด 5. สอนให้แม่รู้วิธีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และวิธีทำให้น้ำนมคงมีปริมาณพอเพียงแม้ว่าจะต้องแยกจากลูก 6. อย่าให้อาหารอื่นหรือน้ำแก่ทารกแรกเกิดนอกจากนมแม่ เว้นแต่จะมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ 7.ให้แม่และลูกอยู่ในห้องเดียวกันตลอด 24 ชั่วโมง 8.สนับสนุนให้ลูกได้ดื่มนมแม่ตามต้องการ 9.อย่าให้ลูกดูดหัวนมยางและหัวนมปลอม และ 10. ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกลุ่มสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และส่งต่อให้แม่เข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวเมื่อออกจากโรงพยาบาลหรือคลินิก

 

            หากทุกชุมชนร่วมกันปฏิบัติตามบันไดทั้ง 10 ขั้น จำนวนคุณแม่ที่ให้ลูกดื่มนมแม่จนครบ 6 เดือน คงมีเพิ่มมากขึ้นเป็นแน่…

 

            ตั้งแต่อยู่ในท้องจนถึงออกมาลืมตาดูโลก… แม่ได้มอบสิ่งดีๆ ให้กับ ลูกแล้วนับไม่ถ้วน โดยไม่มีคำว่า เหน็ดเหนื่อยหรือย่อท้อ” …แล้ววันแม่ปีนี้คุณ พร้อมที่จะทำดีเพื่อแม่หรือจะตอบแทนบุญคุณแม่แล้วหรือยัง? 

 

 

 

 

 

ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update: 16-07-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code