พิษเศรษฐกิจตกต่ำ ทำคุณภาพชีวิตแย่
แนะใช้ “พออยู่พอกิน” แก้ปัญหา
วิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกา ลุกลามไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจของอีกหลายๆ ประเทศ ซึ่งสหรัฐฯ ถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ทำให้วิกฤติเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เผชิญ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยด้วย นอกจากทำให้ผู้ประกอบการหลายแห่งในประเทศต้องลดต้นทุนการผลิตลง เกิดการ “เลิกจ้างงาน” หรือ “ปลดพนักงานออก” แล้ว ยังทำให้คนในประเทศเกิดอาการเครียด และในบางรายคิดสั้นและก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมขึ้น โดยหาทางออกไม่ได้….
-
สลด!พิษเศรษฐกิจ หนุ่มสหรัฐตกงาน ฆ่าหมู่ลูก-เมีย 7 ศพ
-
จับแก๊งโจรกรรมรถ จยย.ชำแหละชิ้นส่วนขาย
-
คุมเข้มแบงก์-ร้านทอง หวั่นคนร้ายปล้นช่วง ศก.แย่
-
2 คนร้ายควงสปาต้าปล้นเซเว่นฯ เมืองเพชร ฉกเงินกว่า 6 พัน
-
ผู้รับเหมาเมืองกาญจน์ฯ เครียด พิษเศรษฐกิจ ค่าวัสดุก่อสร้างพุ่งสูง เป็นหนี้นอกระบบนับแสน
ตัดสินใจผูกคอตาย หนีปัญหา -
เสี่ยปั๊มเครียดยิงตัวดับ เมียเผยเครียดจัดพิษเศรษฐกิจรุมรวมทั้งสุขภาพแย่
คดีแล้วคดีเล่า ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเศรษฐกิจตกต่ำ ตกงาน ไม่มีเงินเลี้ยงชีพ ไม่มีทางออกด้วยความเครียด เลยตัดสินใจทำผิดดังกล่าว เกี่ยวกับเรื่องคดีที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาบอกว่า แนวโน้มคดีอาญากรรมต่างๆ จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่ปลายปี 51 จนถึงต้นปี 52 คาดว่าคดีต่าง ๆ น่าจะสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว เนื่องจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ค่าครองชีพและจำนวนคนว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น…
ซึ่งที่ผ่านมาทางสำนักงานสถิตแห่งชาติ (สสช.) ได้สำรวจภาวะการว่างงานของประชาชนในเดือนธันวาคม 51 ที่ผ่านมา พบว่า มีจำนวน 540,000 คน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.4% สูงกว่าระยะเดียวกันของปีก่อนถึง 220,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 0.8% และสูงกว่าเดือนพฤศจิกายน 51 ประมาณ 20,000 คน โดยแนวโน้มการว่างงานยังคงสูงขึ้น หากการจ้างงานในภาคผลิตยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จำนวนผู้ว่างงานทั้งหมดแยกเป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 150,000 คน และผู้ที่เคยทำงานมาก่อน 390,000 คน โดยการว่างงานภาคใต้สูงสุดที่ 2.8% รองลงมาเป็น กทม. 1.6% ภาคกลาง 1.5% ภาคเหนือ 1.1% และภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้อยที่สุด 0.9% และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่าในปี 2552 จะมีการเลิกจ้างงานสูงถึงกว่า 1 ล้านคน …!!!
แล้วปัญหานี้จะแก้ได้อย่างไร???
ทุกวันนี้!!! ปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าวยังส่งผลให้สุขภาพของคนไทยโดยรวมแย่ลงเป็นโรคเครียดกันมากขึ้น ซึ่ง นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ออกมาเปิดเผยถึงผลสำรวจข้อมูลของกรมสุขภาพจิตในปี 2551 ว่า ภาพรวมของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตจากปัญหาเล็กน้อยถึงรุนแรงในประเทศไทยมีอยู่ถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 12 ล้านคน แบ่งเป็น โรคจิตเภท 6 แสนคน โรคซึมเศร้า 1.2 ล้านคน โรคอารมณ์แปรปรวน 240,000 คน ซึ่งคนไข้ที่กล่าวมาทั้งหมดเข้าถึงบริการของรัฐเพียงร้อยละ 4 หรือประมาณ 480,000 คนเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงมีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2552 ที่จะถึงนี้มีผู้ป่วยซึ่งตกอยู่ในสภาวะวิกฤตสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคน
และที่น่าห่วงไปมากกว่านั้นเมื่อเครียด หาทางออกไม่ได้ ก็หันมาระบายความเครียดโดยการดื่มสุรา เข้าวงเวียนชีวิตที่ว่า จน –> เครียด –> กินเหล้า –> จน –> เครียด –> กินเหล้า ทำให้อัตราดื่มสุราถีบตัวสูงขึ้น ไม่เพียงแต่จะช่วยเศรษฐกิจไม่ได้ ยังจะทำลายสุขภาพของผู้ดื่มได้อย่างน่าตกใจ และในขณะเดียวกันความมั่นคงของสถาบันครอบครัวของไทยก็เสื่อมลงอย่างน่าวิตก มีอัตราการหย่าร้างเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้ครอบครัวไทยใช้เวลาอยู่ร่วมกันในครอบครัวน้อยลง เพราะทั้งสามีและภรรยาต่างต้องออกไปทำมาหากินด้วยกันทั้งคู่ เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัว
จากสภาพความเป็นจริงเหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องที่แสดงถึงความอ่อนแอของคุณภาพชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า ความเลวร้ายของภาวะแวดล้อมของชีวิตดังที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นผลที่ตามมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำของประเทศนี่เอง เมื่อเราช่วยกันพัฒนาประเทศให้ดีขึ้นชีวิตก็จะสุขสมบูรณ์ พร้อมกันนี้ ยังส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมดีขึ้นได้
แต่ในวิกฤติใช่ว่าจะไม่มีทางออก… ความถดถอยทางเศรษฐกิจยิ่งรุนแรง อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คือ การยึดหลักของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงท่านที่เห็นผลได้จริง “พออยู่พอกิน” และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัตน์ หากพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ด้วย…
แล้วแบบไหน แค่ไหน เท่าไหร่ละจะเรียกได้ว่า “พออยู่พอกิน” !!!
ประการแรกต้อง พอมีพอกิน หากเป็นชาวบ้านมีพื้นที่ว่างๆ หันมาปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป ประการที่สอง พออยู่พอใช้ เป็นการทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล) ส่วนประการสุดท้าย พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเหมือนคนอื่น เพราะนอกจากเราจะพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยลดความเครียด ปัญหาอาชญากรรม และอื่นๆ ที่จะตามมาได้ แต่อย่าลืมอีกด้านหนึ่งที่ต้องพัฒนาอยู่เสมอนั่นละกัน นั่นก็คือ “จิตใจ” ที่จะต้องดูแลรักษาให้เข้มแข็งอยู่สม่ำเสมอ
ซึ่งหากประชาชนคนไทยปฏิบัติได้อย่างนี้ ก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในภาวะกดดันของเศรษฐกิจได้…
ที่มา : ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th
Update : 30-01-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฐภัทร ตุ้มภู่