พลังความคิดของเด็กไทย
เบื้องหลังการสร้างชุมชนในฝัน
ทำไมคนเราจึงมีความคิดที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะสภาพแวดล้อม ครอบครัว เพื่อนฝูงที่หล่อหลอมรอบตัวของบุคคลผู้นั้น ที่ส่งผลต่อการซึมซับรับรู้และกลายเป็นกระบวนการทางความคิดของแต่ละบุคคล
เด็กๆ จะมีความคิดเห็นอย่างไรนั้น เป็นผลพวงมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว โรงเรียนที่เขาเรียน และเพื่อนฝูงที่คบค้าสมาคม
ทั้งครอบครัว ครูบาอาจารย์ เพื่อนนักเรียน และผู้คนที่อยู่รอบตัว นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าชุมชนนั่นเอง
ที่มาของบทเรียงความเรื่อง “ชุมชนในฝันของเด็กไทย” ที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ภายใต้ความสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็เช่นกัน กว่าที่กลายมาเป็นความคิดนำเสนอเข้ามาให้เราได้อ่านกันนั้น มีที่มาที่ไป และมีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพลังความคิดนั้นมากมาย
ที่โรงเรียนสตรีทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช น้องกลุ่มนักเรียน ม.5/1 ที่นั่นเล่าบรรยากาศของการเรียนการสอนให้พวกเราฟังระหว่างการเสวนาพูดคุยเกี่ยวกับชุมชนในฝันของตนเองว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมกันจัดติววิชาเรียนต่างๆ ให้รุ่นน้องในโรงเรียนและโรงเรียนใกล้เคียงให้มีแนวทางในการเรียนวิชาการ และช่วยแนะนำสอนการบ้านการเรียนในวิชาที่รุ่นน้องไม่เข้าใจ
สิ่งนี้ถือเป็นกิจกรรมระดับนักเรียนที่รุ่นน้องกับรุ่นพี่สามารถที่จะทำการแบ่งปันให้กันได้โดยไม่ยากเย็น และเป็นการนำน้องๆ ให้ใช้เวลาว่างที่เป็นประโยชน์ด้วย
สำหรับความภาคภูมิใจในสังคมชุมชน ทุกคนสรุปว่า ภูมิใจในประเพณีและวัฒนธรรมตามวิถีชาวพุทธ ที่สำคัญและจัดให้มีทุกปีคือ ประเพณีชักพระของชาวนครศรีธรรมราช ที่เป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ช่วยให้เกิดความสามัคคี
นางสาววิภาวี หาญเดชา กล่าวว่า แม้จะเป็นเด็ก แต่พวกเรามีความภาคภูมิใจที่ได้จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน ทั้งที่โรงเรียนและนอกโรงเรียน และอยากให้คนไทยสามัคคี รักชาติ และช่วยเหลือผู้อื่นหากมีโอกาสทำได้ และรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนนักเรียน บรรยากาศสนุกสนาน เป็นกันเอง
นางสาวจุฑารัตน์ จูฑะเสน กล่าวว่า กิจกรรมที่ทำร่วมกับชุมชน คือนำความรู้สู่น้องในกลุ่มโรงเรียนที่มีขนาดเล็กกว่า เพื่อช่วยกันทำให้สังคมโรงเรียนในชุมชนได้ร่วมมือกันอีกทางหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้คนไทยรักและสามัคคีกันมากขึ้น
ขณะที่นายกิตติชัย จันทรมณี หรือน้องต้น ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ บอกว่า บรรยากาศเหล่านี้เองที่หล่อหลอมให้เกิดความคิดเรื่องชุมชนในฝันขึ้นมา
“ชุมชนแสนสุขมิใช่เพียงในฝัน แต่สามารถเรียงร้อยถ้อยคำจากจินตนาการสู่ความจริงได้” น้องต้นบอก
น้องต้นเล่าวว่า ตอนที่อาจารย์เสาวนี ทองขำ ผู้สอนวิชาภาษาไทย นำข้อมูลเชิญชวนให้ส่งเรียงความเรื่องชุมชนในฝันของเด็กไทยเข้าร่วมประกวด แต่ความที่เป็นคนชอบการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ และตัวเองมีบุคลิกสนุกสนาน ร่าเริง จึงคิดว่าจะนำเสนอเรื่องราวผ่านการ์ตูน
“หัวข้อในการประกวดคือชุมชนในฝัน นั่นก็คือชุมชนในความคิด ในฝันของเรา ผมก็เลยใช้โดเรมอนเป็นตัวแทนความฝัน ถ้าพูดถึงเรื่องชุมชนในฝัน ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม บ้านและโรงเรียน อย่างโดเรมอนที่เป็นตัวการ์ตูนยังคอยช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา ช่วยโนบีตะ ช่วยคนนั้นคนนี้ โดเรมอนจึงเป็นตัวแทนการสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ และเขียนถึงชุมชนที่ผมอยู่ว่าเป็นอย่างไร จากนั้นสรุปว่าทุกคนคงอยากให้มีโดเรมอน เพื่อจะได้ทำให้ชุมชนของเรามีความสุข ซึ่งในโลกความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถเป็นโดเรมอนด้วยการช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ และของวิเศษก็หมายถึงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น เพราะถ้าเราทุกคนช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ ประเทศชาติบ้านเมืองจะน่าอยู่ขึ้นอีกมาก เมื่อทุกคนมีน้ำใจให้กัน ก็จะเกิดความสามัคคี ไม่เห็นแก่ตัว และที่สำคัญผมคิดถึงในหลวง มีในหลวงเป็นแบบอย่างในการทำความดี และอยากทำความดีถวายในหลวง และอยากให้พระองค์มีพระพลานามัยที่แข็งแรงตลอดไป”
นางนงนุช จันทรมณี คุณแม่ของน้องต้นที่มาร่วมแสดงความยินดี กล่าวว่า เป็นครอบครัวที่สนับสนุนทั้งการเรียนและกิจกรรม น้องต้นมีน้องชายอีกหนึ่งคน คุณพ่อรับราชการตำรวจ น้องต้นเป็นเด็กร่าเริง ขี้เล่น และชอบเล่นกีฬาบาสเกตบอล คุณแม่จึงสนับสนุนและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยให้อิสระในการเรียนและทำกิจกรรม แต่เน้นสอนลูกเสมอว่าให้ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ต้องเป็นคนมีน้ำใจ รู้จักเสียสละและมีคุณธรรม ซึ่งจะเน้นมาก และหวังว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชุมชนและสังคมได้
อาจารย์เสาวนี ทองขำ เปิดเผยว่า แนะนำให้นักเรียนร่วมกิจกรรม เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ หลังจากที่น้องต้นเขียนแล้วนำมาให้อาจารย์อ่าน อาจารย์ไม่ได้แก้ไขสำนวนหรือคำใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถือเป็นความคิด ความสามารถของเด็กล้วนๆ ไม่อยากต่อเติมเสริมแต่ง และตอนนั้นคิดว่าลักษณะการนำเสนอของน้องต้นไม่เหมือนใคร และเมื่อได้รับรางวัลชนะเลิศ รู้สึกภาคภูมิใจมาก และคิดว่าเป็นโครงการที่น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะเปิดโอกาสให้เด็กไทยได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นการฝึกฝนทักษะร้อยแก้วได้เป็นอย่างดี และคิดว่าจะสนับสนุนให้นักเรียนคนอื่นๆ รักและภูมิใจในภาษาไทยทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เพื่อให้ภูมิใจในความเป็นคนไทยและมีสังคมชุมชนที่ดี
อาจารย์เพ็ญจัณย์ โกไศยกานนท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีทุ่งสง เปิดเผยว่า โรงเรียนสตรีทุ่งสงภูมิใจในความสามารถของนักเรียนจากนโยบายบรมและบวร นั่นคือให้ความสำคัญระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน 3 ประการต้องประสานสอดคล้องช่วยเหลือกัน จะทำให้นักเรียนเรียนอย่างมีความสุข รู้จักหน้าที่เมื่ออยู่ที่บ้านและโรงเรียน พร้อมทั้งน้อมนำหลักทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการประพฤติตนเป็นคนดี
นอกจากนี้ยังมีการเยี่ยมเยียนครอบครัว พูดคุยกับผู้ปกครอง เพราะหากนักเรียนมีครอบครัวที่อบอุ่นจะเป็นพลังสำคัญในการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ให้นักเรียนทั่วประเทศมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น รู้จักมองปัจจุบันและอนาคต สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
ขณะที่นางสาววรรนิสา จุ้ยน้อย นักเรียนชั้น ม.4 จากสตรีพัทลุง เล่าว่า รู้สึกดีใจมาก เพราะเขียนจากเรื่องราวในครอบครัวและชุมชนของตนเอง
น้องวรรนิสาเป็นชาว อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช คุณพ่อคุณแม่ประกอบอาชีพทำนา และมาเรียนที่โรงเรียนสตรีพัทลุงเนื่องจาก อ.ชะอวด อยู่ใกล้พื้นที่จังหวัดพัทลุง เรื่องราวที่นำเสนอนั้นเป็นเรื่องจากชีวิตจริงๆ
“มีช่วงหนึ่งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ท่านเสด็จฯ มาในพื้นที่แถวบ้านหนูพอดี หนูเห็นแล้วรู้สึกดีใจที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ และมีความคิดอยากช่วยเหลือพระองค์ และให้ชุมชนของหนูมีความสามัคคีรักใคร เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่ามีแต่ความวุ่นวาย เรียงความที่หนูเขียนก็มาจากสิ่งที่หนูอยากให้เป็นจริงๆ ค่ะ”
อ.ประพาส หมอกม่วง หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสตรีพัทลุง กล่าวว่า วรรนิสาเป็นเด็กที่มีความคิดการแสดงออกที่ค่อนข้างน่าสนใจ ตั้งใจเรียนหนังสือ และคิดว่าเป็นการฝึกฝนให้ได้ใช้ความคิด รู้จักนำเสนอสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในชุมชนและสังคมโดยรวมในปัจจุบันมานำเสนอผ่านโครงการ ซึ่งการจัดประกวดครั้งนี้มีประโยชน์ช่วยให้เยาวชนได้ใช้ความคิด ถ่ายทอดวิถีชีวิตในชุมชน อยากให้จัดอย่างต่อเนื่อง เพราะความคิดของเด็กเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสะท้อนให้สังคมโดยรวมได้ตระหนักและช่วยเหลือกันให้เป็นชุมชนที่น่าอยู่และสงบร่มเย็น
อ.จำเนียร รักใหม่ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีพัทลุง กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่โครงการนี้ได้เปิดโอกาสให้เยาวชนทั่วประเทศได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นว่าอยากให้มีสังคมอย่างไร สร้างบ้านสร้างเมืองเราให้เป็นอย่างไรในความคิดเยาวชน สื่อสารผ่านเรียงความ สามารถนำไปเป็นแง่คิดในการสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ร่วมกัน จะช่วยให้ประเทศชาติมั่นคงและลดปัญหาความขัดแย้งลงได้
ผู้ได้รางวัลก็ถือเป็นเพชรเม็ดใหม่ที่น่าชื่นชม ให้รุ่นพี่รุ่นน้องที่จะเติบโตในอนาคตนำไปเป็นแบบอย่างที่ดี ขอขอบคุณที่ไทยโพสต์ และ สสส.เป็นส่วนหนึ่งในการสานฝันเด็กไทยในครั้งนี้
หากพูดถึงชุมชนชาวพัทลุง จะมีความโดดเด่นเรื่องประเพณีวิถีชีวิตที่รักพวกพ้อง ประชาชนมีทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกันมาเป็นเวลานานตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ไม่มีความขัดแย้ง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ชื่นชมขนบประเพณีซึ่งกันและกัน ใช้ชีวิตแบบระบบเครือญาติ ผูกพันกับสังคมแบบพัทลุง ดังนั้น ต้องสนับสนุนให้คงความเป็นเอกลักษณ์ สร้างจิตสำนึกเพื่อบ้านเกิด
สิ่งสำคัญในการช่วยให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขคือ ภาษา การสื่อสารภาษาเดียวกัน เข้าใจกัน หากมุ่งให้ความสำคัญของภาษาและวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน จะเป็นทางหนึ่งในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง การใช้กำลัง ใช้อาวุธ ไม่สามารถแก้ไขได้
พัทลุงเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้น เยาวชนที่นี่อาจมีส่วนร่วมการพัฒนาและแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง อาจเริ่มจากการรู้จักภาษาท้องถิ่น อย่างเปิดโอกาสให้เด็กไทยรู้จักภาษายาวี เมื่อมีโอกาสพบปะพูดคุยจะได้สื่อสารกับพี่น้องมุสลิมได้รู้เรื่องมากยิ่งขึ้น สามารถพูดคุยช่วยเหลือกันได้ในบางครั้ง ลดความขัดแย้งได้ทางหนึ่ง
ทั้งหมดนี้คือที่มาของเบื้องหลังความคิดก่อนที่จะมาเป็นบทเรียงร้อยถ้อยคำเรื่องชุมชนในฝันของเด็กไทยให้เราได้อ่านกัน
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update: 05-04-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร