“ฝึกสมาธิ-ปลุกสติ” กินอยู่แบบสุขภาวะดี

 

การจะทำให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การพักผ่อน การนั่งสมาธิ หรือการกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ

ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรักนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะ ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซอยงามดูพลี เพื่อให้ความรู้ แนวคิดดีๆ และหลักปฏิบัติในการมีสุขภาพดีทั้งกายใจแก่ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

สำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้น จะเริ่มด้วยการฝึกโยคะเบื้องต้น โดย อาจารย์วีระพันธ์ ไกรวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะ เป็นวิทยากร และ อาจารย์จิรา เหลืองเมนู ผู้สาธิตท่าฝึก จาก สถาบันโยคะวิชาการเป็นอีกหนึ่งวิทยากร

อ.วีระพันธ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับโยคะว่า เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการฝึกฝนตนเอง มีรากฐานมาจากอินเดียโบราณ โดยแก่นของการฝึกโยคะมี 3 ประการ คือ การรวมกายและจิตเข้าด้วยกันอย่างมีสติ รู้อยู่กับกายตลอดเวลา

อาจารย์อธิบายต่อว่า “โยคะพาไปสู่การฝึกสมาธิ ถ้าเปรียบโยคะทั้ง 8 ได้แก่ ยมะ นิยมะ อาสนะ ปราณายามะ ปริตรยาหาระ ธารณา ธยานะ และสมาธิ เป็นเหมือนซี่ล้อ ไม่ว่าจะฝึกวิธีไหน ก็เข้าถึงโยคะได้ โดยที่ไม่สามารถบอกได้ว่าฝึกอย่างไหนดีกว่ากัน เพราะการฝึกโยคะเป็นเหมือนบันไดที่เราต้องค่อยๆ ฝึก ไม่หักโหม ไม่ฝืนตนเอง

ส่วนการฝึกอาสนะที่คนไทยรู้จักกันมาก มีหลักการฝึกง่ายๆ อยู่ 4 อย่าง คือ นิ่ง สบาย ใช้แรงน้อย มีความรู้ตัว ขณะฝึกการทำท่าทางต่างๆ ผู้ฝึกอาจรู้สึกสั่นๆ บ้าง นั่นหมายความกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้นั้น ยังไม่แข็งแรง ก็ค่อยๆ ฝึกไป เมื่อชำนาญแล้วจะดีขึ้น ตอนค้างท่าอยู่ก็หายใจเข้า-ออกไปสบายๆ ส่วนไหนที่เกร็งเกิน ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนทำให้ได้ท่าสวยๆ อยากทำให้เต็มที่เลยตั้งใจออกแรงมากๆ เพราะอาจทำให้เป็นตะคริว และเกิดการบาดเจ็บได้ ข้อสำคัญคือการทำท่าทางทั้งหมดนั้น ควรฝึกด้วยความรู้สึกตัวไปตามจังหวะของการเคลื่อนไหว และควรมีวินัยในการฝึกฝนตนเองทุกวัน”

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม book talk ผอมได้ ไม่ต้องอด โดย คุณหมอผิง-พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ และ anti-aging medicine โรงพยาบาลสมิติเวช ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายคนไทยไร้พุง มาบอกเล่าถึงหนังสือที่รวบรวมงานวิจัยกว่า 50 ชิ้น เกี่ยวกับหลักการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ รวมถึงเคล็ดไม่ลับในการลดน้ำหนักให้ได้ผลโดยไม่ต้องอดอาหาร

 “การเลือกรับประทานอาหารและของว่าง” นับเป็นข้อปฏิบัติสำคัญที่คุณหมอคนสวยให้คำแนะนำ คุณหมอเล่าอย่างขำๆ ว่า คนจะผอมได้ ต้อง “เยอะ” ไว้ก่อน เพราะต้อง “คิดอย่างคนผอม อยู่อย่างคนผอม กินอย่างคนผอม แล้วคุณจะผอมได้โดยไม่ต้องอด”

 “ส่วนใหญ่หนังสือเกี่ยวกับการลดความอ้วนในประเทศไทยมักจะเป็นเรื่องของการนับแคลอรี และการกินตามสูตรแปลกๆซึ่งพอเราเลิกทำ ก็จะทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล อีกทั้งบางสูตรกินไปนานๆ ก็ไม่ดีกับสุขภาพด้วย อาทิ การกินโปรตีนมากๆก็จะทำให้เลือดเป็นกรด บางคนกินนับแคลอรีน้อยๆ ก็จะส่งผลเสียต่อระบบเมตาบอลิซึ่มของตัวเอง ทำให้เผาผลาญพลังงานไม่ได้เท่าที่ควร ฉะนั้นการจะลดน้ำหนักให้ยั่งยืน จึงต้องเลือกกินควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย

เมนูสำหรับคนลดน้ำหนัก นอกจากการเลือกกินผักโปรตีนคุณภาพจากเนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และคาร์โบไฮเดรตที่ดีในอาหารมื้อหลักแล้ว เวลาเลือกรับประทานขนมในยามว่าง ก็ควรจะต้องสังเกตฉลากอาหารว่าให้คุณค่าอะไรกับร่างกายบ้าง มีน้ำตาลกี่เปอร์เซ็นต์ ไม่ควรกินของว่างประเภทคาร์โบไฮเดรตมากๆ อย่างข้าวโพดนึ่งหรือฟักทองอบแห้ง เพราะผลไม้อบแห้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี หากจะกินจริงๆ กินเป็นผลไม้สดไปเลยจะดีกว่า”

นอกจากนี้ คุณหมอยังกล่าวต่อว่า ที่สำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการรับประทานอาหาร คนที่ตั้งใจลดน้ำหนัก ไม่ควรมีโทรทัศน์อยู่ใกล้โต๊ะอาหาร น้ำอัดลมของหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นของต้องห้ามที่ไม่ควรมีอยู่ในบ้าน สำหรับอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ ก็ควรจัดไว้ในชั้นที่เรามองเห็นได้ง่ายๆ และถ้าเป็นไปได้ การลดขนาดของตู้เย็นลง ซื้อของเข้าบ้านทีละน้อย ก็นับเป็นการควบคุมปริมาณอาหารที่จะกินได้อีกวิธีหนึ่ง

คุณเกรียงศักดิ์ วิวัฒน์วงศากุล ผู้ควบคุมน้ำหนักตามแนวทางของคุณหมอผิง ภายในเวลา 10 เดือน สามารถลดน้ำหนักไปได้ 26 กิโลกรัม ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการลดน้ำหนักว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าอ้วนไม่เป็นโรค ไม่รู้ว่าภาวะอ้วน สามารถนำไปสู่โรคอะไรได้บ้าง และที่หนักกว่านั้นก็คือ คิดว่าอ้วนแล้วโหงวเฮ้งดี ดูมีฐานะ ถามว่าผมอยากกลับไปกินข้าวมันไก่ หมูกรอบที่เป็นของโปรดไหม ก็อยากนะครับ แต่ไม่กิน เพราะผมคิดว่า เราต้องเป็นคนที่มีอายุมากอย่างมีคุณภาพ เลยต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่ใช่อีกหน่อยไม่สบายแล้วต้องนอนเหมือนผัก คอยให้คนอื่นมาดูแลเรา”

ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ จะมีกิจกรรมน่าสนใจและเป็นประโยชน์ตลอดทั้งเดือนและทุกเดือน โดยสามารถติดตามหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-3431500 ต่อ 2 หรือ www.thaihealthcenter.org รักสุขภาพ ใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตของตนเองเราต้องอย่าลืมหาของดีๆ ให้กับตัวเรานะคะ

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า 

Shares:
QR Code :
QR Code