ผลวิจัยชี้ เด็กม.ต้น เผชิญปัจจัยเสี่ยง
ที่มา : เว็บไซต์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากเว็บไซต์คมชัดลึกและอินเทอร์เน็ต
ผลวิจัยชี้ เด็กม.ต้น เผชิญปัจจัยเสี่ยง เหล้า บุหรี่ พนัน เซ็กซ์ ยา จี้ทุกฝ่ายเข้มทักษะชีวิต เปิดพื้นที่บวก ด้านอดีตเยาวชน เผยวงจรชีวิตเคยเสพยาวันละ 30 เม็ด
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2559 เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์แผนงานภาคีวิชาการสารเสพติด (ภวส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีเปิดผลสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชนทั้งในและนอกสถานศึกษา โดย ศ.ดร.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้จัดการแผนงานภาคีวิชาการสารเสพติด และคณะผู้วิจัย ได้เปิดเผยผลการสำรวจล่าสุดปี 59 ในกลุ่มนักเรียนมัธยมสายสามัญศึกษา117 โรงเรียน และสายอาชีวศึกษา 79 โรงเรียน รวม 38,535 ราย พบว่า 18.6% ยังนิยมดื่มสุรา ในจำนวนนี้ 9.2% ดื่มจนเมา เมื่อเปรียบเทียบกับปี 52 และ 50 พบว่านักเรียนชายมีแนวโน้มการดื่มสุราลดลงในขณะที่นักเรียนหญิงกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมทั้งการดื่มหนักหรือดื่มแบบเมาหัวราน้ำมากขึ้นนอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมสูบบุหรี่ 9.4% เล่นการพนัน12.3% ติดเกมส์ 4.5% และนักเรียนชาย17.1%นักเรียนหญิง10.4% เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือเกือบครึ่งหรือ45.3%ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ทั้งนี้ในส่วนการใช้สารเสพติดยังพบในกลุ่ม นักเรียนชาย7.7%และนักเรียนหญิง3.2%
ศ.ดร.สาวิตรี กล่าวว่า นอกจากนี้คณะผู้วิจัยยังได้ลงพื้นที่สำรวจกลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษา และเยาวชนในพื้นที่หมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.) พบว่า เด็กและเยาวชนที่ติดสารเสพติดส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียน เนื่องจากออกกลางคัน เรียนไม่จบ มีปัญหาความรุนแรง ปัญหาครอบครัว ขาดความอบอุ่น เลี้ยงดูแบบตามใจ บางครอบครัวผู้ปกครองใช้สารเสพติดให้เด็กเห็นทั้งดื่มสุรา สูบบุหรี่ ทำให้เห็นว่าการใช้สารเสพติดเป็นเรื่องปกติจึงเกิดค่านิยมที่ผิด นอกจากนี้ยังเข้าถึงได้ง่าย เกิดการกระตุ้นคล้อยตาม ทั้งนี้สถานการณ์การใช้สารเสพติดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้ง ติดยาบ้า กัญชา น้ำต้มใบกระท่อม (4×100) และสารระเหย ส่งผลกระทบตามมา คือ สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม ไม่สมบูรณ์แข็งแรง ขาดสติยั้งคิด เกิดปัญหาอาชญากรรม ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในชุมชน
ดร.วิไลลักษณ์ ลังกา นักวิจัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า การต่อสู้เอาชนะปัจจัยเสี่ยงรอบตัวเด็กได้คือครอบครัวต้องดูแลเอาใจใส่อบรมสั่งสอนให้รู้ในสิ่งที่ถูกและผิด พูดคุย รับฟังความคิดเห็น ส่วนโรงเรียน ควรจัดกิจกรรมที่เหมาะสมและหลากหลาย คัดกรองนักเรียนกลุ่มที่เรียนรู้ช้า เรียนไม่ทันเพื่อน และปัญหาอื่นๆ เพื่อจะได้ช่วยเหลือได้ทันก่อนที่เด็กเหล่านี้จะหันไปพึ่งยาเสพติด ขณะที่ชุมชนควรรวมกลุ่มกันสร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง ทั้งผู้นำชุมชน ผู้ปกครอง เด็กและเยาวชน กำหนดบทบาทหน้าที่ให้แต่ละฝ่ายช่วยส่งเสริมการปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สอดส่องดูแลสมาชิกในชุมชน จัดกิจกรรมเพื่อสร้างจิตสาธารณะ สร้างการเห็นคุณค่าในตนเองและเพิ่มพูนทักษะชีวิตเพื่อป้องกันการใช้สารเสพติด รวมกลุ่มทำกิจกรรมส่งเสริมอาชีพ สร้างความเข้มแข็งในชุมชน
“ที่สำคัญต้องเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เสริมแรงทางบวก ให้เขาประพฤติตัวดีหรือกลับตัวได้ ส่งเสริมให้เข้าร่วมเป็นแกนนำกลุ่มทำกิจกรรมเชิงสาธารณประโยชน์ในชุมชน และหน่วยงานภาครัฐทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง ควรมีมาตรการและนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่เป็นจริง จริงใจแก้ปัญหา ไม่ผลักภาระ ซึ่งทุกหน่วยงานต้องช่วยกันสร้างสังคมให้น่าอยู่ ช่วยกันพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นคนดีมีคุณภาพเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป” ดร.วิไลลักษณ์ กล่าว
ขณะที่ นายสุชาติ แป้นประเสริฐ อายุ 35 ปี อดีตวัยรุ่นที่เคยเป็นทั้งผู้เสพและผู้ค้ายาเสพติด พลิกตัวเองเป็นแกนนำชุมชนและนักพัฒนาสังคม กล่าวว่า เริ่มเข้าสู่วงจรอบายมุขตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จากดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กระทั่งหันมาเป็นทั้งผู้ค้าผู้เสพยาเสพติด โดยทำร่วมกับน้องชายอีก 2 คนแบบครบวงจร เคยเสพมากสุดวันละ 30 เม็ด บางครั้งเสพแบบไม่หลับไม่นอนกว่า 10 วัน สมัยนั้นสภาพแวดล้อมในชุมชนเป็นแหล่งมั่วสุมอบายมุขทุกชนิดหาซื้อได้ง่ายและสะดวก แม้จะเคยถูกจับติดคุก แต่เมื่อพ้นโทษได้ 2 เดือนก็กลับมาขายและเสพซ้ำ ช่วงนั้นทำทุกทาง ขโมยทรัพย์สินมีค่าในบ้านไปขายเพื่อหาเงินมาซื้อยา ก่อเหตุชกต่อยทะเลาะวิวาท ชิงทรัพย์ เคยมีเรื่องยิงคู่อริ เคยถูกปาระเบิดใส่บ้าน ส่วนเรื่องปัญหาสุขภาพก็ย่ำแย่ ไม่มีเรี่ยวแรง เคยหลับยาวไม่รู้สึกตัวไป2วัน และกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย
“คนในชุมชนจะรู้จักชื่อเสียงผมดี พ่อผมเป็นประธานชุมชน แต่ต้องถูกชาวบ้านล้อว่าลูกติดยาจนทำให้อับอาย ด้วยความรักลูก พ่อจึงพยายามทำทุกทางและผันตัวเองมาทำงานด้านรณรงค์ป้องกันยาเสพติดเพื่อให้ลูกทั้ง 3 คนเลิกเสพยา จนผมและน้องอีก 2 คนเกิดการซึมซับ เมื่อเห็นความลำบากของพ่อ เห็นน้ำตาแม่ทุกวัน อีกทั้งได้ไปช่วยงานที่กองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา เห็นถึงผลร้ายจากยาเสพติด จนสามารถหลุดพ้นจากทาสยาเสพติดมาได้แล้ว 13 ปี โดยมีเครือข่ายภาคประชาสังคมต่างๆ เช่น องค์กรงดเหล้า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เข้ามาให้การช่วยเหลือสนับสนุนสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ขอฝากถึงเยาวชนว่าอย่าไปลอง เพราะผลเสียจะตามมามากมาย ที่สำคัญถ้าเข้าไปในวงจรนี้แล้วยากมากที่จะฟื้นคืนได้ด้วยตัวเอง และขอฝากถึงระบบการศึกษาว่าต้องทำให้ตรงจุด ไม่ฉาบฉวย ควรเสริมทักษะชีวิตให้เด็กเยาวชน ขณะเดียวกันสังคมต้องไม่ซ้ำเติม ไม่ตีตราคนที่ก้าวพลาดแต่ควรให้โอกาส ซึ่งผมก็เป็นอีกคนที่โชคดีเพราะสังคมให้โอกาสสามารถผันตัวเองมาทำงานเป็นจิตอาสาตอบแทนสังคม ทุกวันนี้เดินไปไหนมาไหนได้สบายไม่อายใคร หลายครั้งที่ได้นำเอาประสบการณ์ที่ก้าวผิดของเราไปถ่ายทอดให้เด็กและเยาวชนฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์” นายสุชาติ กล่าว