ผนึกพลัง สร้าง “พื้นที่การอ่าน” มหัศจรรย์เสริมสร้างสุข
หลายปีหลังมีเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน เกี่ยวกับ คำพูดที่ว่า "คนไทยอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 8 บรรทัด" นั้น ว่าเป็นความจริงหรือไม่
แฟ้มภาพ
แต่ความสงสัยดังกล่าวอาจฟังดูน่าจะตกใจน้อยกว่า หากได้ทราบอีกข้อเท็จจริงที่ว่า ปัจจุบันเด็กไทยที่อยู่ในระบบการศึกษากลับมีพัฒนาการด้านการอ่านล่าช้าจำนวนมาก โดยผลการสำรวจพัฒนาการเด็กปฐมวัย ทั่วประเทศ ของกรมอนามัย ระหว่างปี 2542-2557 พบว่ามีเด็กไทยมีพัฒนาการด้านภาษาล่าช้าจำนวนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปี 2557 สถิติพุ่งสูงถึงร้อยละ 38.2 หรือเป็นสองเท่าตัว เมื่อเทียบกับเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าในประเทศพัฒนาแล้วที่เฉลี่ยมีเพียงร้อยละ 5-15
แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้สะท้อนเพียงปัญหาการด้อยทักษะทางภาษา ที่กำลังคุกคามกระบวนการเรียนรู้และการอ่านของเด็กไทย หรือฉายภาพความล้มเหลวของระบบการศึกษาที่ต้องได้รับการปฏิรูปเท่านั้น หากยังแสดงถึงสภาวะของสังคมไทย ที่ขาดสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และการอ่านของเยาวชน โดยเฉพาะการอ่านนิทานหรือหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียน ที่เป็นกลไกช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่านของเด็กๆ ได้ดีขึ้น
ในงาน "Happy Reading in Wonderland : มหัศจรรย์แห่งการอ่าน" จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และภาคีเครือข่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมจุดประกายและกระตุ้นให้สังคมหันมาให้ความสำคัญกับสังคมการอ่านเพื่อสร้างสรรค์จินตนาการและการเรียนรู้
ใจความตอนหนึ่งในคำกล่าวของ สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บอกเล่าผลการศึกษาระบบยุติธรรม ในสหรัฐอเมริกา พบว่ากว่าร้อยละ 60 ของคดีอาญาที่เกิดขึ้น มาจากผู้ที่ไม่รู้หนังสือ สอดคล้องกับการศึกษาของสถาบันสถิติแห่งสหประชาชาติ ที่ร่วมกับองค์การยูเนสโกพบว่า การไม่รู้หนังสือนำมาสู่ความแตกแยกของสังคมและความด้อยคุณภาพของพลเมือง
สุดใจเอ่ยว่าด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองส่วนใหญ่มักละเลย ไม่เห็นความสำคัญของการเรียนรู้หรืออ่านหนังสือกับลูก โดยข้ออ้างว่าไม่มีเวลาหรือมีภาระการงาน
"ทั้งที่ความเป็นจริงการแบ่งเวลาให้กับลูกเพียงไม่กี่นาที ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือให้ฟัง หรือการฟังอ่านหนังสือไปกับลูก ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กซึมซับวัฒนธรรมการอ่าน และเกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย์ตลอดชีวิต"
ด้าน รศ.ดร.จุมพล รอดคำดี ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะ 5 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวเสริมว่า งานวิจัยในโลกนี้ทั้งหลายพูดถึงการเรียนรู้หรือการพัฒนา ล้วนมีความเกี่ยวพันกับการสร้างกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้สมองได้ทำงานด้านต่างๆ
ซึ่งการสร้างวัฒนธรรมในการเรียนรู้โดยการอ่านและฝึกให้เป็นนิสัยจะทำให้เด็กรู้จักโลกมากขึ้น และมีความเข้าใจในสิ่งรอบตัว ทั้งเป็นภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อเด็กอ่านเพื่อเรียนรู้จะเกิดประสบการณ์ เขาสามารถเลือกหรือแยกแยะได้ว่าจะเลือกรับสิ่งใด
"การอ่านหรือการเล่าเรื่องทำให้เด็กเกิดจินตนาการ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อ่านหนังสือไม่ได้ แต่พ่อแม่อ่านให้ฟังก็จะทำให้กระตุ้นสมอง เด็กจึงเกิดสติปัญญาและปลูกฝังนิสัยเรียนรู้ ทีนี้ พอเขาเห็นพ่อแม่อ่านหนังสือเขาก็จะอยากหยิบหนังสือมาอ่าน"
ปราณี รัตนไกรศรี หรือ ยายอุ้ม หนึ่งในแกนนำที่ลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมพื้นที่ส่งเสริมการอ่านสร้างสุข ให้กับเด็กเยาวชนในชุมชนร่มเกล้า บอกเล่าถึงสิ่งที่เธอผลักดันอยู่ ว่าเกิดจากแรงบันดาลใจที่ชุมชนร่มเกล้ามีปัญหาเด็กมาก จึงมองว่าผู้ใหญ่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างไร
"เราคิดว่าถ้าให้ความคิดหรือปัญญาแก่เขาก็น่าจะแก้ได้ ก็ต้องให้ความรู้ จึงเริ่มชวนเขามาอ่านหนังสือ แต่เรารู้สึกว่าเด็กอ่านไม่ค่อยเก่ง เห็นชัดเลยว่าขนาด ชั้นปอห้า-ปอหก แล้ว ก็ยังอ่านไม่คล่อง เรารู้แล้วว่าเด็กเรียนไม่ดีเพราะอ่านโจทย์ไม่เข้าใจ"
ปราณียืนยันว่าการที่เด็กเรียนไม่ดี ไม่ใช่เพราะเขาโง่หรือไม่เก่ง แต่เกิดจากการอ่านไม่คล่อง จึงเลยเถิดไม่สนใจเรียน "แต่พอเขาทำกิจกรรมร่วมกับเรา เราเห็นว่าเขาก็เก่งนะ เขาทำได้" เคล็ดลับสำคัญ คือการวางแผนให้การอ่านสัมพันธ์กับเรื่องกระบวนการ โดยได้จัดให้มีกระบวนการส่งเสริมการอ่านเข้าไปช่วยสร้างแรงจูงใจเด็ก เช่นแทนที่จะให้เด็กมาอ่านเฉยๆ ก็วางบทบาทให้เป็นผู้ถ่ายทอด เล่าเรื่องราว
"เราใช้กิจกรรมชวนเขา ว่ามาทำวิทยุกันไหม เขาเริ่มสนใจ พอเขาได้พูดออกรายการ แล้วพ่อแม่เขาฟังก็เลยรู้ว่าลูกตัวเองจริงๆ พูดได้ เขียนได้เป็นเรื่องเป็นราว เกิดความภูมิใจและกลายเป็นปากต่อปาก"
หลังจากได้ร่วมโครงการกับ สสส. เกิดแนวคิดต่อยอด โดยชักชวนกันมาทำห้องสมุดสัญจร เพราะการทำห้องสมุดเด็กกลับไม่ชอบ มองว่าเป็นทางการเกินไป และเป็นภาระของเขา จึงใช้กลยุทธ์จัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่
"เด็กอยู่ที่ไหนเราก็ไปที่นั่น เราก็เสริมกิจกรรมพวกศิลปะ ในรถเราจะมีอุปกรณ์ กระดาษสี ปากการะบายสี เป็นกิจกรรมดึงให้เขาสนใจ"
เธอบอกว่ากิจกรรมเหล่านี้ เป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้เงินทุนสูง ทำเองได้ง่าย ต่อมาจึงพัฒนากิจกรรมที่เข้ากับเด็กแต่ละวัยมากขึ้น อย่างกลุ่มเด็กเล็กก็เหมาะกับกิจกรรมอย่างหนึ่ง เช่น เล่านิทาน วาดรูป ส่วนเด็กโต ก็จะเป็นคนเริ่มคิดกิจกรรมที่นำให้น้องๆ อ่าน
"พอเราทำไปเรื่อยๆ เด็กที่โตขึ้นก็จะมาจัดกิจกรรมให้น้องเล็ก เด็กกลุ่มเยาวชนเขาจะคิดกิจกรรมที่ใหญ่ขึ้น เช่นกิจกรรมวอล์คแรลลี่การอ่านในสวน หรือพอเขาเห็นกิจกรรมอะไรที่น่าสนใจที่โรงเรียนเขาก็จะมาทำกับน้องๆ ในชุมชน
"เด็กเป็นคนคิดกิจกรรม เรามีหน้าที่ให้คำปรึกษา ให้อยู่ในกรอบแนวทางที่ควรจะเป็น จริงๆ ถ้าผู้ใหญ่คิดคง ไม่พ้นอบรมสัมมนา เด็กเขาเบื่อ แต่ถ้าให้เขาคิดเอง เขาจะคิดการอบรมรูปแบบเขา เช่นทำเป็นแนวสืบค้น ให้รู้สึกสนุกตื่นเต้น"
ปราณีบอกว่าอีกสิ่งที่เป็นผลพลอยได้ของโครงการนี้คือ หลังๆ เริ่มมีผู้สูงวัยหรือผู้ใหญ่ในชุมชนมานั่งเล่านิทานให้เด็กฟัง กลายเป็นความคุ้นเคยผูกพัน จากเมื่อก่อนไม่เคยทักทาย ตอนนี้เจอหน้ายกมือไหว้ เรียกคุณยาย คุณป้า เสริมสร้างความอบอุ่นในชุมชนได้ดีขึ้น
การศึกษาที่ดีที่สุด คือการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่การอ่านเพื่อเรียนหรือสอบ และพลังที่แท้จริงของการอ่านคือการเชื่อมโยงความรักความอบอุ่นในครอบครัว และแน่นอนที่สุด สามารถบรรเทาความขัดแย้งหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมให้ลดน้อยลงได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ