ป้องเมืองกันน้ำท่วมซ้ำแค่สิ่งก่อสร้างเอา(ไม่)อยู่
มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2554สร้างความเสียหายต่อคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่เส้นทางน้ำผ่านไม่น้อย ทั้งในส่วนของทรัพย์สิน เงินทอง ร่างกายและสภาพจิตใจ การเดินหน้าเร่งหาแนวทางป้องกันเพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้
เสียงสะท้อนหนึ่งที่สำคัญและควรจะถูกนำมาใช้ประกอบการวางแผนป้องกันน้ำท่วมซ้ำคือ ความคิดเห็นจากชาวบ้านผู้ประสบภัย ข้อมูลจาก แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.)
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 3,048 คน ใน 3 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ ที่มีต่อการจัดการอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขตกทม.และปริมณฑล ปี 2554พบว่า กลุ่มตัวอย่าง รับรู้การเฝ้าระวังและเตือนภัยมากกว่า 50% รับรู้มาตรการดูแลระหว่างน้ำท่วม 20-30% รับรู้มาตรการเตรียมรับมือน้ำท่วม 10-16% และ 5% ไม่รับรู้มาตรการใดๆ เลย
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาในอนาคต กลุ่มตัวอย่างมากกว่า 60% เห็นด้วยกับมาตรการด้านการลงทุนและก่อสร้าง เช่น สร้างระบบแก้มลิง ระบบระบายน้ำขนาดใหญ่ระบบคลองย่อย แม้ชาวบ้านมากกว่าครึ่งจะเห็นว่าการสร้างสิ่งก่อสร้างจะช่วยป้องกันน้ำท่วมซ้ำได้แต่ในความเป็นจริงการอาศัยเพียงสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอ
เรื่องนี้ ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด ผอ.นสธ. ให้ความเห็นว่า มาตรการที่ต้องใช้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอนาคตในส่วนที่เป็นมาตรการที่ไม่ใช้สิ่งก่อสร้างสำคัญกว่าโดยรัฐควรดำเนินการอย่างน้อย 3 เรื่องหลัก ได้แก่
1. การควบคุมการใช้ที่ดิน หากเป็นพื้นที่ต่ำ ลุ่มหรือน้ำท่วมซ้ำซากไม่ควรให้เข้าไปอยู่อาศัย ถ้าเป็นที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ต้องกำกับที่ตั้งและลักษณะของอาคารในพื้นที่ โดยจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน และไม่ควรเปลี่ยนบ่อยๆ ตามผู้มีอำนาจ แต่ควรเปลี่ยนเมื่อเห็นว่าแผนหมดอายุ นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ควรศึกษาพื้นที่ของตนเองว่าพื้นที่บริเวณใดควรทำเป็นแก้มลิง เพราะเป็นองค์กรที่รู้สภาพพื้นที่ดีที่สุด
2. การจัดการความขัดแย้ง เริ่มจากการมีข้อมูลพื้นที่ต้องรู้ว่าพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมมีลักษณะเป็นอย่างไร เป็นพื้นที่ที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำท่วมหรือไม่ รวมถึงควรรู้ว่าประชาชนได้รับความเสียหายอย่างไร จากนั้นจึงจะเข้าไปเจรจากับคนในพื้นที่ ด้วยการเริ่มจาก อปท. เพื่อให้ดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการต่างๆ เช่น เก็บสวะ ขุดลอกคูคลอง ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่า การจัดการปัญหาเรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม
3. การจัดตั้งองค์กรอิสระด้านน้ำที่ปลอดจากการเมืองขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ที่สำคัญ องค์กรอิสระนี้จะต้องเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนให้มากที่สุดและตลอดเวลา ทั้งนี้ การที่ต้องมีองค์กรอิสระด้านน้ำเนื่องจากที่ราบภาคกลางของประเทศไทยสภาพพื้นที่ต่างจากที่อื่นคือน้ำเดินทางช้า จึงมีเวลาร่วมเดือนในการบริหารจัดการน้ำกว่าที่น้ำจะเดินทางถึงกรุงเทพฯ
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ย้ำให้คิด ว่า “มาตรการป้องกันน้ำท่วมที่เป็นสิ่งก่อสร้าง ต้องใช้เงินลงทุนเยอะถึง 4 แสนล้านบาทแต่หากไม่ดำเนินการกำกับพฤติกรรมของประชาชนด้วยมาตรการป้องกันน้ำท่วมซ้ำไม่มีทางสำเร็จ เงิน 4 แสนล้านบาทก็จะกลายเป็นเงินที่ละลายไปกับน้ำ เช่น ทำแก้มลิง แต่ยังปล่อยให้คนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ เมื่อน้ำท่วมก็ต้องชดเชยค่าเสียหายให้คนเหล่านี้ เป็นต้นเพราะฉะนั้นมาตรการที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างต่างๆ จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการนำไปสู่ความสำเร็จที่จะป้องกันน้ำท่วม”
การทุ่มงบประมาณจำนวนมากมหาศาลสร้างสิ่งก่อสร้าง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเมืองในอนาคต อาจต้องคว้าน้ำเหลวตราบใดที่ไม่ดำเนินการควบคู่กับมาตรการที่ไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และประชาชนยังไม่ตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมที่ตนเองพึงกระทำในการป้องกันปัญหา
ถ้าฝ่ายภาครัฐ เห็นว่า แนวคิดดังกล่าวนี้ มีความเป็นไปได้ ก็น่าที่จะลองทบทวนถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ และหากเห็นว่า สามารถนำเอาแนวคิดดังกล่าวไปบูรณาการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างสมบูรณ์ ก็ไม่น่าที่จะเหนียมอาย หรือกลัวเสียหน้าแต่อย่างใด …เพราะ ความสำเร็จของทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้หากจะให้สำเร็จสมบูรณ์ในทุกทาง ควรจะต้องมาจากสมองของคนหลายๆ คนมากกว่าจะตะแบงอยู่แต่กับความคิดของตนเพียงด้านเดียว
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า