ปั้นคนรุ่นใหม่ ยุว อสม. ช่วยสื่อสารข้อมูลวัคซีนที่ถูกต้อง
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.
สสส.-สถาบันยุวทัศน์ฯ ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ชูแนวคิด “รักใครให้ชวนฉีดวัคซีน” ปกป้องครอบครัวจาก COVID-19 เนื่องในวันสุขบัญญัติแห่งชาติ ประจำปี 2564 ดึง ยุว อสม. ปูพรมลงพื้นที่สื่อสารข้อมูลวัคซีนที่ถูกต้อง ลดส่งต่อข่าวลวง เน้นชวนกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ เข้ารับวัคซีนโดยเร็ว
เมื่อเวลา 18.15 น. วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จัดเสวนาออนไลน์เตรียมความพร้อมกับคนรุ่นใหม่ “รักใครให้ชวนฉีดวัคซีน” ผ่านทางเฟซบุ๊ก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และภาคีเครือข่าย เนื่องในวันสุขบัญญัติแห่งชาติ ประจำปี 2564
โดย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คนที่ 1 กล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ จะมีส่วนช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และตลอดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา มีผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงที่อยู่ในบ้านพักตนเองติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากบุตรหลานที่ออกไปประกอบอาชีพนอกบ้านเป็นจำนวนมาก
และสำหรับกรณีคนรุ่นใหม่ที่มีความกังวลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน ที่มีอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ อยากให้รับทราบว่าวัคซีนทุกชนิดทั่วโลกเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในสภาวะฉุกเฉิน และมีการวิจัยถึงประสิทธิภาพไม่นานมาก ดังนั้นการได้รับวัคซีนให้เร็วที่สุดตามกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ จะสามารถลดความรุนแรงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
“ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ยืนยันรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่มาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันมีการเร่งรัดจัดหาวัคซีนที่มีความหลากหลายและเหมาะสมกับช่วงวัยไว้แล้ว และจะสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับคนรุ่นใหม่ได้ทันทีเมื่อวัคซีนมาถึง และผ่านขั้นตอนต่างๆ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยระหว่างนี้จึงอยากขอความร่วมมือคนรุ่นใหม่ทุกคนทำหน้าที่เป็น ยุว อสม. หรือเป็นผู้พิทักษ์สุขภาพของครอบครัว ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องพร้อมเชิญชวนผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงในครอบครัว ลงทะเบียนรับวัคซีนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดความเสี่ยงการเสียชีวิต หรือการเจ็บป่วยรุนแรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่นี้” ดร.สาธิต กล่าว
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมกับสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่ายคนทำงานด้านเด็กและเยาวชนดำเนินการจัดให้มีระบบยุวอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ ยุว อสม. ประจำพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นแกนนำเด็กและเยาวชนที่อยู่ทั้งในระบบและนอกระบบสถานศึกษาต่างๆ นับเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชาติ ที่จะสามารถช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้
โดยมุ่งให้ ยุว อสม. ทำหน้าที่เป็นนักสื่อสารสุขภาพ นำแนวทางสุขบัญญัติในข้อ 10 คือ “มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม” ภายใต้คำขวัญ “ยุว อสม.ชวนครอบครัวทั่วไทย พร้อมใจฉีดวัคซีน” โดยทำบทบาทตามหลัก 3 ช คือ ช.ที่ 1 ชี้แจง ความปลอดภัยและประโยชน์ของวัคซีน ช.ที่ 2 ชักชวนการลงทะเบียนเพื่อไปฉีดวัคซีนแก่คนในครอบครัว และ ช.ที่ 3 ช่วยเหลือการลงทะเบียน และติดตามผลหลังการฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ ยุว อสม. ยังเป็นขุมพลังที่ช่วยสื่อสารให้กับเพื่อนนักเรียนบอกต่อกับคนในครอบครัวตนเองและคนรอบข้าง ให้เกิดความตระหนักเห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้คนไทยทุกคนปลอดภัยยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมต้อนรับการเปิดประเทศกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วอีกด้วย
นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า ปัญหาความกังวลต่อประสิทธิภาพและผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน นับเป็นวิกฤตข้อมูลข่าวสาร (Information Crisis) เนื่องจากในสื่อสังคมออนไลน์มีการส่งต่อข้อมูล ที่มีรายละเอียดไม่รอบด้านเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะข่าวที่ไม่มีข้อเท็จจริง (Fake News) ซึ่งสร้างความสับสนและมีการส่งต่อกันในกลุ่มคนรุ่นใหม่บ่อยครั้ง
สอดคล้องกับรายงานผลการสำรวจ เรื่องการป้องกันตัวและความคิดเห็นของประชาชนไทย ในช่วงการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ครั้งที่ 5 โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มีกลุ่มตัวอย่าง 7,025 คน (รอบระหว่างวันที่ 1-15 เมษายน 2564) ระบุว่า มีเพียงร้อยละ 36.9 เท่านั้นที่ต้องการรับวัคซีน ขณะที่ร้อยละ 18.6 จะไม่เชิญชวนคนอื่นๆ ไปฉีดวัคซีนเนื่องจากเป็นความต้องการของแต่ละบุคคล
“สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดว่าวิกฤตการสื่อสารในครั้งนี้ กลายเป็นปัญหาความเข้าใจผิดร่วมกันของคนในสังคม ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มต้นจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ต้องมีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ด้วยการหยุดส่งต่อข้อมูลที่มีรายละเอียดไม่รอบด้าน หรือข้อมูลที่ไม่มีข้อเท็จจริง ตลอดจนใช้โอกาสนี้พิสูจน์ความรักด้วยการเชิญชวนครอบครัวตนเองไปรับวัคซีนให้ไวที่สุดเพื่อลดความรุนแรงเมื่อได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงศึกษาหาข้อมูลเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง เมื่อถึงช่วงเวลาที่มีการฉีดวัคซีนให้บุคคลทั่วไป” นายพชรพรรษ์ กล่าว