ปลูกข้าวไร่ในสวนยาง ปลูกอาหารเพื่อชุมชน
ท่ามกลางจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องพืชเศรษฐกิจ มองไปทางไหนก็เห็นยางพาราและปาล์มน้ำมันสุดลูกหูลูกตา แต่ยังคงมีชุมชนเล็กๆ ชุมชนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาบอกกับคนรอบข้างว่าต่อจากนี้ไป นอกจากทิวป่ายางและดงปาล์มน้ำมัน อาหารจะเริ่มงอกงามขึ้นมาจากดิน อาหารที่เราทุกคนกินกันทุกมื้อทุกยาม อาหารที่อยู่คู่กับชุมชนมานานแสนนาน อาหารที่หลายคนอาจลืมกันไป
เมื่อข้าวพื้นบ้านกลับมาสู่ชุมชน
ณ ชุมชนบ้านคอกช้าง ตำบลคลองพน อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ผู้คนกว่า 65 คน ที่มีทั้งคนในชุมชนและคนต่างถิ่น ต่างนัดหมายมารวมกัน โดยมีจุดหมายอยู่ที่แปลงยางปลูกใหม่ ที่ไถปรับพื้นที่ไว้พร้อมสำหรับให้นำข้าวลงปลูก ที่ชาวชุมชนเรียกว่าการ “หนำข้าว” นั่นเอง
นายวิจิตร ลูกเหล็ม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองพน เป็นประธานในงาน ได้กล่าวต้อนรับ คณะที่มาเยือนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้กล่าวชื่นชมสมาชิกชุมชนบ้านคอกช้าง ที่ได้ร่วมไม้ร่วมมือกันทำกิจกรรมของชุมชน จนเป็นที่ประจักษ์ ถือได้ว่าเป็นชุมชนหนึ่งที่มีความเข้มแข็ง ในการแก้ปัญหาของชุมชน
จากนั้น นางนิภาพร คงสบาย ประธานกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียงบ้านคอกช้าง ได้กล่าวรายงานสรุป ให้เห็นถึงข้อมูลพื้นฐานของชมชน เช่นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ข้อมูลประชากร ข้อมูลทางเศรษฐกิจ สภาพปัญหา หลักคิด และกิจกรรมของชุมชน
รู้จักชุมชนคอกช้าง
บ้านคอกช้าง เคยมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งสมัยการปกครองที่ เมืองกระบี่ขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้นำทหารมาตั้งค่ายพักแรมและสร้างคอกเพื่อจับช้าง เพราะสมัยนั้นบ้านคอกช้างอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ทั้งป่าไม้และสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะช้างป่า จึงได้เรียกชื่อชุมชนแห่งนี้ว่าบ้านคอกช้าง
ชุมชนบ้านคอกช้างมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 70 ครัวเรือน 200 คน ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลคลองพน อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ซึ่ง หมู่ที่ 6 มีด้วยกัน 2 ชุมชน 2 วัฒนธรรม คือ ชุมชนบ้านคอกช้าง ซึ่งเป็นชุมชนคนนับถือศาสนาพุทธ และชุมชนบ้านพรุใหญ่ ซึ่งเป็นชุมชนมุสลิม คนในชุมชนมีรายได้จากการทำการเกษตร ปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันเกือบ 80% ของคนในชุมชน มีรายได้ในฐานะปานกลาง
เนื่องจากการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ทำให้คนในชุมชนมีรายได้แล้ว ยังสร้างปัญหาให้กับชุมชนไม่น้อย เช่น ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยที่สร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร และความเสื่อมโทรมทางวิถีวัฒนธรรมชองชุมชน ทำให้คนในสังคมแตกแยกและเห็นแก่ตัวมาขึ้น และหลงไปตามกระแสการบริโภคนิยม ทำให้ในอนาคตจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย
ชุมชนบ้านคอกช้างได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ที่อาจเกิดขึ้น จึงได้จัดตั้งกลุ่มชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงบ้านคอกช้างขึ้น เพื่อระดมความคิดในการแก้ปัญหา และพัฒนาชุมชนในอนาคต
สร้างความสามัคคี สร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างธนาคารชุมชน
การสร้างความสามัคคีกับคนในชุมชน เป็นการแก้ปัญหาของชุมชนในเรื่องความแตกแยก การเห็นแก่ตัว การแย่งชิงทรัพยากร โดยการจัดตั้งกลุ่ม และจัดให้มีเวทีพูดคุย และสร้างกิจกรรมร่วมกัน เช่นจัดให้มีการประชุมร่วมกันเป็นประจำทุกเดือน การคิดแก้ปัญหาร่วมกัน และการสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน
นายหม้อหราด หวังสป แกนนำสมาชิกบ้านห้วยน้ำขาว เป็นวิทยากร เรื่องการขับเคลื่อนงานชาวนา ได้กล่าวถึงหลักคิดในการทำนาปลูกข้าวไว้กินเอง
การสร้างความมั่นคงทางอาหาร เป็นแก้ปัญหาจากการทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และวิถีวัฒนธรรมชองชุมชน โดยการรักษาฐานการผลิตอาการ เช่น ที่ดินทำกิน เช่น พื้นที่ทำนา ทำไร่ ปลูกพืช ผัก ผลไม้ ต้องมีการปกป้อง
น้ำในการบริโภคและใช้ในการทำการเกษตร ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ต้องมีการฟื้นฟู ป่า ซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้ดินดี น้ำดี มีพันธุกรรมที่หลากหลาย ต้องมีการรักษา พันธุกรรมท้องถิ่น ที่มีคูณค่าทางอาหารและยา ต้องมีการอนุรักษ์ และ วัฒนธรรม ในการปกป้องทรัพยากร และการอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องมีการสืบทอด
นายชัยวัชต์ ขาวแขก สอ.บต.ตำบลคลองพน เป็นวิทยากรในการขับเคลื่อนงานการปลูกข้าวไร่ และการรวมกลุ่มแรงงานการทำไร่
กิจกรรมของกลุ่ม จัดตั้งกองทุนออมทรัพย์ จากสมาชิกคนละ 100 บาทต่อเดือน ปล่อยเงินกู้ให้สมาชิกไปใช้ตามความจำเป็น โดนคิดตอกเบี้ย ร้อย ละ 1 บาท/เดือน จัดสวัสดิการให้กับสมาชิกและคนทำงาน ตามสัดส่านจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการให้กู้เงิน 70-20-10 โดย 70% เฉลี่ยปันผลสมาชิก 20% เป็นค่าตอบแทนคนทำงาน10% เป็นค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์เครื่องใช้ และสร้างความมั่นคงทางอาหาร เช่นการปลูกข้าวไร่ ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์
ถึงเวลาลงมือ
สมาชิกและผู้มาร่วมเรียนรู้ ได้ลงไปเรียนรู้ในแปลงจริงๆ และมีวันนี้ก็เป็นวันที่มีการลงแขกอีกวันหนึ่งที่ทำงานอยู่ก่อนแล้ว ประมาณสิบกว่าคน ที่นอกเหนือจากการเข้าร่วมเวทีวันนี้
การทำหลุม หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่าการแทงสัก
การปลูกข้าว หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่าการหนำข้าว
แทงสัก..หนำข้าว ร่วมแรงร่วมใจ
ปลูกข้าวพื้นบ้าน ปลูกความสัมพันธ์
นอกเหนือจากการได้ร่วมกันหนำข้าวแล้ว ก่อนจากกันได้มีการถ่ายรูปร่วมกัน และมีการมอบพันธุ์ข้าวท้องถิ่นและพืชผักพื้นบ้าน เป็นที่ระลึกและนำไปขยายพันธุ์ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนใต้ และจากการเชื่อมโยงกันในวันนี้ได้มีการสัญญาซึ่งกันและกันว่าจะไปเยี่ยมเยือนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเหมือนการซอแรงงานในชุมชนบ้านคอกช้าง และในเวทีครั้งนี้ได้มี “ไอ้คอ” หรือ “ไอ้เกลอ” กันถึงสองคู่
ที่มา: มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย)