“ประเวศ”ชง 7 ข้อเสนอรัฐบาลดึงท้องถิ่นปฏิรูปประเทศ
“ประเวศ” เสนอท้องถิ่นประกาศสัตยาบันสร้างประเทศให้น่าอยู่ ชง 7 ข้อต่อรัฐบาล ดึงอำนาจปกครองสู่ชุมชน ชี้หัวใจปฏิรูปประเทศ ต้องกลับหัวการพัฒนาท้องถิ่น เตือนสติผู้นำชุมชนสร้างกระบวนการพัฒนาส่งเสริมบทบาท “สภาชุมชน” แนะ รบ.เชื่อศักดิ์ศรี“ท้องถิ่น” ไม่ยึดรวมศูนย์อำนาจ – ออกพันธบัตร ระดมทุนซื้อที่ดินคืนรัฐ จัดสรรให้ท้องถิ่นทำประโยชน์
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการเสิรมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ จัดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางปฏิรูปประเทศไทยโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีตัวแทนจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เข้าร่วมกว่า 200 คน
นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ปฏิบัติการของชุมชนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ว่า ผู้นำท้องถิ่นคือคนสำคัญที่สุดในการปฏิรูปประเทศไทย เพราะชุมชนท้องถิ่นคือกุญแจในการแก้ไขวิกฤติชาติ เนื่องจากดูแลทั้งหมดในพื้นที่ ทั้งดูแลทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่บนแผ่นดินไทย และมีเศรษฐกิจที่แท้จริงในระดับล่าง เช่น การปลูกข้าว และการผลิต แต่เศรษฐกิจระดับบนเป็นเพียงมายาคติ เช่น เงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่สมมุติ แต่ข้าว ปลา ผัก กินได้ ดังนั้นชุมชนท้องถิ่นคือของจริง แต่ที่ผ่านมาถูกนำไปสมมุติในทางที่ผิด แทนที่จะให้ท้องถิ่นรวยที่สุด แต่กลับจนที่สุด ดังนั้นเราต้องแก้เรื่องการปฏิรูป โดยหันมาที่ชุมชนท้องถิ่นที่เป็นชาติที่แท้จริง ซึ่งคำว่า “ปฏิ” คือการปรับ ส่วนคำว่า “ปฎิรูป” คือ การปรับรูปประเทศไทย โดยต้องพัฒนาแบบกลับหัวเอาท้องถิ่นเป็นฐานของการพัฒนาประเทศ เพราะรากฐานที่ใหญ่จะไม่ล้มได้ง่าย หากชุมชนมั่นคง ประเทศก็จะมั่นคง
นพ.ประเวศ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราพยายามเน้นการพัฒนาจากข้างบนลงล่าง ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย เกิดปัญหาความเป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ ระบบการศึกษาก็ไล่ต้อนคนขึ้นข้างบน การศึกษาจึงต้องเป็นไปเพื่อให้ฐานเข้มแข็ง ขณะที่ระบบการเมืองและวัฒนธรรมการเมืองในระดับชาติที่ผ่านมาทำแทบตายก็ไม่สำเร็จ เพราะมุ่งจากด้านบน ดังนั้นต้องกลับสู่ระดับล่าง คือส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองและแก้ปัญหาได้ทุกทิศ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะข้างบนเป็นเรื่องของอำนาจและมายาคติ จึงไม่สามารถนำมาพัฒนาประเทศได้ ความเจริญจึงต้องมาจากระดับล่าง ผู้นำท้องถิ่น จึงเป็นคนแก้ไขวิกฤติชาติที่แท้จริง โดยเอาชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง ส่วนระบบเศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง และการปกครอง จะเป็นตัวมาสนับสนุน ให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็งขึ้น
“วิกฤติชาติที่เกิดขึ้นเพราะเรามีปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมาเรื่อยๆ แต่สังคมไม่สนใจปัญหาเชิงโครงสร้าง มัวแต่ไปต่อสู้เรื่องตัวบุคคล ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมจนเกิดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย โครงสร้างทางสังคม และกฎหมายที่มีอคติกับคนจนที่ต้องมีการปฏิรูปกฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม รวมถึงโครงสร้างทางการปกครองที่ในรอบ 100 ปี เป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางจนนำไปสู่ความขัดแย้งที่สำคัญและนำสู่ปัญหาต่างๆ เช่น กรณีปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หัวใจคือความขัดแย้งระหว่างการรวมศูนย์อำนาจการปกครองกับวัฒนธรรมท้องถิ่น การปฏิรูปจึงต้องกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้” นพ.ประเวศ กล่าว
นพ.ประเวศ กล่าวว่า การทำให้ชุมชนเข้มแข้งรัฐบาลจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้บังคับบัญชาไปเป็นผู้สนับสนุนให้ท้องถิ่นเป็นตัวเองมากที่สุด เชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และศักยภาพของชุมชนที่สามารถปกครองดูแลตัวเองและท้องถิ่นของตนได้ รัฐบาลไม่ควรปกครองโดยรวมศูนย์อำนาจแล้วใช้อำนาจลงไปทั้งหมด เพราะจะทำให้เกิดวิกฤติชาติได้ ดังนั้นการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้ ต้องให้ชุมชนและท้องถิ่นมีอำนาจในการปกครองตัวเองเพื่อสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความต้องการของตนเอง
นพ.ประเวศ กล่าวว่า การพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นนั้น ทั้งเทศบาล อบต. และ อบจ. เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดกระบวนการชุมชนเริ่มด้วย 1.ส่งเสริมให้เกิดสภาผู้นำชุมชน เป็นการรวมตัวของผู้นำตามธรรมชาติของแต่ละหมู่บ้าน เพราะบุคคลเหล่านี้เป็นคนดีและเก่ง ดังนั้น ท้องถิ่นต้องส่งเสริมให้รวมตัวให้เกิดสภาชุมชน เพื่อลงไปสำรวจว่าในแต่ละหมู่บ้าน ในชุมชนมีปัญหาอย่างไร และนำข้อมูลมาทำแผนพัฒนาบูรณาการชุมชน เพื่อให้ประชาชนทั้งหมู่บ้านได้ศึกษา ขณะเดียวกันประชาชนทั้งหมู่บ้านต้องช่วยกันขับเคลื่อนให้เกิดมรรค 8 แห่งการพัฒนา คือ เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษา และประชาธิปไตย โดยชุมนต้องบูรณาการทั้ง 8 ข้อเพื่อให้เกิดความสุข เริ่มจากทุกหมู่บ้าน ทุกเทศบาล ทุกตำบล และในที่สุดทำให้เกิดความสุขได้เต็มพื้นที่ประเทศ ทั้งนี้ในการทำงานของแต่ละชุมชน ตนอยากให้ทำงานโดยร่วมมือกับคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ ที่มีคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ เป็นประธาน เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างการทำงานของชุมชนท้องถิ่นและการทำงานระดับประเทศ
2.ส่งเสริมการดำเนินการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่เอาจีดีพีเป็นตัวตั้ง แต่ต้องใช้สัมมาชีพของคนในชุนเป็นตัวตั้ง เพราะหากคนในชุมชนมีรายได้จะไม่เกิดการเบียดเบียนกัน 3.การอนุรักษ์และใช้ทรัพยากร โดยต้องคืนสิทธิ์ให้ชุมชนมีสิทธิในการดูแลการใช้ทรัพยากรในชุมชนของตนเอง ทั้งนี้รัฐจะต้องมีบทบาทในการจัดสรรที่ทำกินให้ประชาชนอย่างเป็นธรรม โดยอาจมีการออกพันธบัตรเพื่อซื้อคืนที่ดินมาเป็นของรัฐ และให้ประชาชนใช้เช่าทำประโยชน์ และประกอบอาชีพ 4.ชุมชนไม่ทอดทิ้งกัน โดยสำรวจว่าในชุมชนมีคนอยู่ในฐานะที่ถูกทอดทิ้ง อาทิ เด็กกำพร้า คนพิการ คนจน ทั้งนี้ควรสำรวจจำนวนให้เสร็จภายใน 1 เดือน จากนั้นจัดกองทุนดูแลมีสวัสดิการบุคคลเหล่านี้ และ 5.การศึกษาชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน เนื่องจากระบบการศึกษาปัจจุบันอาจยังไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของชุมชน ดังนั้น ผู้นำท้องถิ่นต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการศึกษาทั้งในระดับประถมฯ มัธยมฯ และอุดมศึกษา นำการเรียนรู้ชีวิตเป็นตัวตั้งเชื่อมโยงกับสังคมและจิตใจ เพื่อไม่ให้เด็กหลงลืมรากเหง้าของตนเอง และละทิ้งชุมชน
นพ.ประเวศ กล่าวว่า การที่ผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่นมารวมตัวกัน ตนขอเสนอว่าควรจะออกเป็นคำประกาศขององค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อให้เกิดพลัง คือ 1. องค์กรปกครองท้องถิ่นทั้ง 8,000 องค์กรทั่วประเทศ จะรวมตัวกันปฏิรูปประเทศไทยให้เกิดความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูป 2. องค์กรปกครองท้องถิ่นจะขจัดความยากจน โดยสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ และพัฒนาอย่างบูรณาการ สร้างสังคมศานติสุข ภายใน 10 ปี 3. จุดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่น ถ้าชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศก็จะเข้มแข็ง ขอให้ทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุด
นพ.ประเวศ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบาย 7 ข้อคือ 1. แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง 2. ปรับบทบาทของกระทรวงมหาดไทย จากการใช้อำนาจมาเป็นการสนับสนุน ปรับบทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัด จากการเป็นผู้บงการมาเป็นผู้กำกับ 3. ให้ชุมชนมีสิทธิในการดูแลรักษาและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน 4. ให้ชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิในการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง 5. ห้ามมิให้เศรษฐกิจมหภาคทำลายความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น แต่เศรษฐกิจมหภาคควรมาเกื้อหนุนเศรษฐกิจชุมชน 6. ให้มีอย่างน้อยมหาวิทยาลัย 1 แห่ง ส่งสริมความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นใน 1 จังหวัด และ 7 ให้นายกฯตั้งองค์กรอิสระเพื่อพัฒนาระบบการปกครองตนเองของชุมชนท้องถิ่น
ที่มา : สำนักข่าว สสส.
อัพเดท:5-07-2553
อัพเดทเนื้อหาโดย :คีตฌาณ์ ลอยเลิศ