ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อคนทั้งมวล
“อเมริกากำลังเผชิญปัญหาว่างงาน ขณะที่เยอรมัน การศึกษาเน้นเรื่องอาชีวะ จึงไม่เกิดภาวะว่างงาน การศึกษาไทยจึงควรเน้นในเรื่องอาชีวศึกษาที่เชื่อมกับสถานประกอบการ” นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส
จากมุมมองของผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาข้างต้น สะท้อนผ่านเวที “ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อคนทั้งมวล” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 ได้หยิบยกกรณีตัวอย่างในแต่ละเรื่องมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ข้าราชการระดับสูงจากหน่วยงานด้านการศึกษา องค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ และผู้แทนสื่อมวลชนเข้าร่วมกว่า 60 คน จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.)
โจทย์แรกคือ “การศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อสัมมาชีพ” ซึ่งได้หยิบยกกรณีศึกษาจากโรงเรียนบ้านเมืองกื้ด จ.เชียงใหม่ และโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี จ.เชียงราย ที่ประสบผลสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างสัมมาชีพให้แก่ผู้เรียน
เริ่มจาก โรงเรียนบ้านเมืองกื้ด จ.เชียงใหม่ โดย นายณรงค์ อภัยใจ ผู้อำนวยการโรงเรียน มาร่วมแลกเปลี่ยนว่า เนื่องจากเด็กในโรงเรียนส่วนใหญ่มาจากหลากหลายชนเผ่าที่มีฐานะยากจน และต้องใช้เวลาในการเดินทางมาเรียนอย่างยากลำบาก จึงคิดวิธีการที่จะทำให้เด็กๆ ของเราสามารถมาเรียนหนังสือได้ และมีอาชีพที่พึ่งพิงตนเองได้ในอนาคต ผมวิเคราะห์สภาพภูมิศาสตร์และศักยภาพของชุมชนในเรื่องการจักสาน นวดแผนไทย และวัฒนธรรมที่เป็นจุดแข็ง บวกกับชุมชนเราเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหญ่ มีรีสอร์ท ปางช้าง จึงใช้บริบทของชุมชนเป็นหลักในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ เด็กชั้น ม.1-3 จะได้เรียนการประกอบอาชีพเพิ่มเติม เช่น การโรงแรม นวดแผนไทย จักสาน เพราะเรามีเป้าหมายคือทำให้เด็กที่จบการศึกษามีคุณภาพชีวิตและดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ด้วยทักษะของตัวเอง
เช่นเดียวกับ โรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี จ.เชียงราย อีกหนึ่งตัวอย่างการพัฒนาการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนสามารถพึ่งพิงตนเองได้ด้วยอาชีพที่ตนถนัด และประยุกต์การประกอบอาชีพจากทรัพยากรในท้องที่ของตนเอง
นายศุภโชค ปิยะสันติ์ ผู้อำนวยการ ร.ร.บ้านห้วยไร่สามัคคี เล่าว่า เด็กๆ ในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวเขา การเดินทางมาเรียนก็ยากลำบาก และสิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือเด็กเหล่านี้ไม่เรียนต่อ เพราะปัญหาความยากจน ผมและคุณครูในโรงเรียนจึงได้ช่วยกันออกแบบวิธีการเรียนการสอนที่จะทำให้เด็กๆ พึ่งพิงตนเองได้ จึงกลายมาเป็นหลักสูตรประยุกต์ในการฝึกสัมมาชีพ
อาจารย์ศุภโชค ยังกล่าวต่ออีกว่า แรกเริ่มโครงการต้องระดมความช่วยเหลือจากหลายฝ่ายเยอะมากโดยเฉพาะในส่วนของท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นจะเป็นกลไกสำคัญที่จะเข้ามาช่วยหนุนและช่วยเสริมให้การเรียนการสอนแบบสัมมาชีพพัฒนาไปได้ นอกจากนี้แล้วผู้คนในชุมชนก็จะต้องให้ความร่วมมือและเข้าใจในการเรียนการสอนในลักษณะนี้ด้วย
“ผมขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายเยอะมาก ทั้งจากท้องที่และจากผู้คนในชุมชน ซึ่งทั้งสองแห่งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาก เรามีคุณครูที่มาสอนการนวดให้แก่เด็กๆ ซึ่งก็เป็นผู้ปกครองของเด็กๆ เอง เรามีสถานที่ที่ให้เด็กๆ จำหน่ายกาแฟก็จากการอนุญาตจากท้องที่ ไกด์เด็กของเราสามารถเข้าไปให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวได้ อาชีพต่างๆ เหล่านี้ทำให้เด็กๆ สามารถพึ่งพิงตนเองได้และหาเลี้ยงครอบครัวได้ สิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนการสอนแบบนี้คือเด็กๆ ที่พึ่งพิงตนเองได้จะไม่หลั่งไหลเข้าไปหางานทำในเมือง ทำให้สถาบันครอบครัวชุมชนและท้องถิ่นเข้มแข็ง ถึงแม้การดำเนินการเรียนการสอนในลักษณะนี้จะยากและต้องพบเจอกับอุปสรรค แต่เราต้องเชื่อและยึดมั่นในความเชื่อของเราเพราะความเชื่อนี้จะทำให้ชีวิตของลูกศิษย์เราดีขึ้น”
จากการแลกเปลี่ยนความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ข้าราชการระดับสูงด้านการศึกษา ผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น และสื่อมวลชนพบว่า สิ่งที่สำคัญจากตัวอย่างของโรงเรียนทั้งสองแห่งคือ การฝึกให้เด็กๆ ได้ใช้ทักษะชีวิตของตนเองอย่างเต็มที่ ด้วยทักษะที่ได้ลงมือปฏิบัติ และถูกฝึกให้รู้จักการพึ่งพิงพาตนเอง ผู้บริหารโรงเรียนที่กล้าทำสิ่งใหม่ๆ โดยประสานความร่วมมือจากเครือข่ายทรัพยากรจากภาคนอก
นอกจากนี้ในการขยายผลกรณีศึกษาได้มีผู้ทรงคุณวุฒิให้ข้อเสนอแนะไว้อย่างน่าสนใจ เช่น ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ แลกเปลี่ยนว่า สิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งพัฒนารูปแบบของการเรียนการสอนวิชาคหกรรมให้เด็กๆ ในโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารเพื่อลดการออกกลางคันของเด็กๆ
เช่นเดียวกับ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช สะท้อนว่า การเรียนการสอนในยุคปัจจุบันนี้ทักษะของครูจะไม่เน้นการสอน แต่ต้องออกแบบการสอนการเรียนรู้และต้องจุดประกายความคิดให้แก่เด็ก เราจะต้องขยายโมเดลในรูปแบบนี้ออกไปเรื่อยๆ และต้องทำเวิร์กช็อปให้แก่คุณครูในอีกหลายโรงเรียน ซึ่งทรัพยากรในเรื่องการเรียนรู้ของหลายๆ โรงเรียนมีอีกมาก เราจึงควรจัดตั้งเป็นเครือข่ายในการจัดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์
สำหรับสิ่งที่ได้จากเวทีปฏิรูปการเรียนรู้ในครั้งนี้ จะนำสู่การถอดบทเรียนและนำข้อมูลความรู้จากกรณีตัวอย่างมาสังเคราะห์เป็นแนวทาง มาตรการ หรือข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโจทย์ “การเรียนรู้เพื่อชีวิตจริงในสังคม”
วงเสวนาปฏิรูปการเรียนรู้จึงมีขึ้นอย่างสม่ำเสมอในทุกเดือน โดยหยิบยกประเด็นที่หลากหลายของมิติทางการศึกษา ซึ่งเวทีครั้งที่ 2 จะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 14 มีนาคม จากนั้นจะมีขึ้นในทุกวันอังคารแรกของเดือน เวลาบ่ายโมง จนถึงเดือนธันวาคม 2555
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก