‘บ้านทุ่งยาว’ น่าอยู่สร้างเศรษฐกิจเพิ่มรายได้บนวิถีชุมชน
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ภาพประกอบจากเว็บไซต์ happynetwork.org
หนึ่งในกลไกสำคัญในการพัฒนาชุมชนนำไปสู่ชุมชนสุขภาวะ คือการมีผู้นำชุมชนมีคุณสมบัติที่สมาชิกชุมชนส่วนใหญ่ให้การยอมรับ พร้อมที่จะให้ความร่วมมือสนับสนุนการทำงาน ซึ่งผู้นำชุมชนจะต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น และรับรู้ความต้องการในพื้นที่ จึงจะช่วยให้การทำงานนำไปสู่ความสำเร็จ
บ้านทุ่งยาว หมู่ 7 ตำบลโคกชะงาย อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เป็นชุมชนเกษตรกรรม ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำสวนยางพารา ทำนา สวนผลไม้และเลี้ยงสัตว์ แต่ต้องประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ เกษตรกรส่วนใหญ่มีภาระหนี้สินจากการพึ่งพิงการทำการเกษตรโดยการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และใช้สารเคมี ทำให้มีสารตกค้างในดินและในแหล่งน้ำ ประกอบกับชุมชนยังขาดการจัดการเรื่องขยะจนทำให้เกิดปัญหาโรคไข้เลือดออกตามมา แต่ปัญหาเหล่านี้เริ่มลดลงเมื่อชุมชนตระหนักถึงปัญหาและร่วมกัน จัดตั้ง "สมาชิกสภาผู้นำชุมชน" ขึ้นโดยมีตัวแทนจากหลากหลายอาชีพในชุมชนเข้ามาเป็นกลไกช่วยกันขับเคลื่อน "โครงการชุมชนน่าอยู่ บ้านทุ่งยาว" โดยการสนับสนุนของ สำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
พลภัทร คงแก้วขาว กำนันหนุ่มแห่งตำบลโคกชะงาย ยอมรับว่า ลำพังเขาเพียงคนเดียวไม่สามารถผลักดันให้ชุมชนเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด แต่การทำหน้าที่ผู้นำชุมชนจึงมองเห็นและเข้าใจปัญหาได้อย่างดี หลังจากการพูดคุยกับลูกบ้านทุกเดือน ที่ประชุมเห็นว่าควรจัดตั้งสภาผู้นำชุมชนขึ้น เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของหมู่บ้าน การจะรู้ข้อมูลว่ามีปัญหาอะไรนั้น ต้องไปดูข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ที่กรมพัฒนาชุมชนได้สำรวจไว้ ควบคู่กับบัญชีครัวเรือน ซึ่งศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ได้สอนให้ทุกครัวเรือนรู้จักการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายในครัวเรือนอยู่แล้ว และอธิบายเปรียบเทียบว่า ทุกครัวเรือนเสมือน "โอ่งชีวิต" ที่มีรายรับเข้าทางปากโอ่งแต่มีรูรั่วของโอ่งที่ทำให้น้ำไหลออกตลอดเวลา
"อันดับแรกเราจัดตั้งสภาผู้นำก่อนเพื่อมาร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา ผู้นำเหล่านี้ก็มาจากคณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำกลุ่มบ้าน อาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ปราชญ์ชาวบ้าน และจะต้องมีจิตอาสา มีจิตสาธารณะ จากนั้นก็เปิดรับสมัครครัวเรือนต้นแบบด้วยความสมัครใจ เริ่มต้นเราได้มา 80 ครัวเรือนจาก 380 ครัวเรือน ขอเริ่มต้นน้อยๆ ก่อน" กำนันพลภัทรให้ข้อมูล
ผู้นำชุมชนยังอธิบายต่อว่า เมื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วพบว่า โอ่งชีวิตมีรูรั่วหลายด้านที่ต้องอุด แต่ต้องเรียงลำดับความสำคัญ สภาผู้นำชุมชนและสมาชิกเห็นว่าสิ่งที่สำคัญอันดับแรกที่จะทำให้เดินต่อไปได้คือ การลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ เนื่องจากรายได้ที่ได้มาจากทำนา ทำสวน รับจ้าง นั้นไม่เพียงพอ ขณะที่มีรายจ่ายในครัวเรือนที่ต้องจ่ายอยู่ประจำเป็นจำนวนมาก
หลักการที่ชาวบ้านทุ่งยาวทำก็คือ การต่อยอดอาชีพที่สมาชิกทำอยู่แล้ว โดยเข้าไปสนับสนุนให้เดินต่อไปได้และสนับสนุนอาชีพใหม่หากจะทำเพิ่ม และเมื่อมีผลิตภัณฑ์ออกมา หรือมีสินค้าอะไรออกมา ก็จะช่วยหาวิธีการกระจายสินค้าในชุมชนก่อน เช่น ให้ผู้นำชุมชนเองเสียสละซื้อสินค้า นำมาจับสลากเป็นรางวัลในวันประชุมหมู่บ้าน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วม อีกส่วนหนึ่งทางสภาผู้นำก็จะแนะนำสถานที่ในการจำหน่ายให้แก่สมาชิก เช่น ตลาดชุมชน ตลาดพาณิชย์ ตลาดประชารัฐ เป็นต้น
"เราเริ่มต้นจากปิดรูรั่วก่อน จะปิดตรงนั้นได้หากครัวเรือนต้นแบบไม่มีองค์ความรู้ว่าจะอุดรอยรั่วอย่างไร ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จะนั่งอธิบายก็จะไม่เข้าใจ ก็เลยพาครัวเรือนเหล่านี้ไปดูงาน ไปดูพื้นที่ที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จ พื้นที่ 1 ไร่กว่าๆ นี่ก็สามารถมีรายได้อยู่ได้ พาไปดูพอไปดูเสร็จก็กลับมาทำกิจกรรมย่อยเพื่อลดต้นทุน เช่น การปลูกผักกินเอง การทำปุ๋ยหมัก ทำน้ำยาล้างจาน ให้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องการคัดแยกขยะ ทำให้มี รายได้จากขยะในครัวเรือน ช่วยลดปัญหาขยะในท้องถิ่นไปด้วย ต่อไปเราเองก็คงจะจัดให้มีตลาดชุมชนให้ชาวบ้านมาขายของสัปดาห์ละครั้ง" กำนันตำบลโคกชะงายกล่าว
ทางด้าน สมชาย ลายทิพย์ เกษตรกรครัวเรือนต้นแบบ เปิดเผยว่า ประสบปัญหากับราคาพืชเกษตรตกต่ำ แต่รายจ่ายไม่ลดลง ได้รับคำแนะนำจากสภาผู้นำในเรื่องการลดต้นทุนหลายอย่าง สามารถใช้พื้นที่รอบบ้านที่มีอยู่ 3 ไร่เศษ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม จากการทำเกษตรผสมผสาน ทั้งการปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์ต่างๆ
"ของผมก็จะมีบ่อปลา มีแปลงหญ้าเลี้ยงวัว เลี้ยงผึ้งโพรงไว้ 2 รัง เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่พื้นเมือง ได้ไปอบรมเรื่องการทำอาหารสัตว์ก็ช่วยลดต้นทุนได้ มีรายได้จากการขายมะละกอ มะพร้าว ขายปลา มะนาว ขายเป็ดเนื้อ พืชผักสวนครัวก็มีครบไม่ต้องซื้อ ยาฆ่าแมลงก็ไม่ใช้เพราะเราเลี้ยงผึ้งด้วย ถ้าใช้ยาฆ่าแมลงผึ้งก็จะไม่อยู่" เกษตรกรต้นแบบเล่าอย่างภาคภูมิใจ
โครงการชุมชนน่าอยู่บ้านทุ่งยาว แม้เพิ่งเริ่มต้นดำเนินงานต่างๆ เป็นปีแรก แต่มีกระบวนการคิดที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนโดยใช้สภาผู้นำชุมชนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน โดยเริ่มต้นจากการสร้างครัวเรือนต้นแบบลดรายจ่าย ที่สามารถหาทางอุดรอยรั่วของโอ่งชีวิตได้ รวมไปถึงหาช่องทางการสร้างรายได้เพิ่มให้กับสมาชิกในชุมชน และตั้งเป้าที่จะขยายผลการดำเนินงานออกไปให้กว้างขวางมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสมาชิกชุมชนแห่งนี้ได้อย่างยั่งยืน