‘บ้านดงบัง’ ยังมีทั้งเสือและช้าง
ที่มา : แฟนเพจแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
ภาพประกอบจากแฟนเพจแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
ว่าด้วยเรื่องบ้านดงบัง ต.ดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอยู่เยอะ คราวก่อนเล่าเรื่องประวัติบ้านดงบังคร่าว ๆ ให้ได้รู้กัน คราวนี้มาพูดเรื่องสิงสาราสัตว์ที่บ้านดงบัง ที่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง สมกับชื่อ “ดงบัง” จริง ๆ
ยายน่วม วัย 80 ปี เล่าให้ฟังว่า สมัยยายเป็นเด็กแม่ของยายเล่าให้ฟังว่า ในพื้นที่แถบนี้มีป่าอยู่รกมาก ที่ตั้งวัดโพธารามสมัยปัจจุบันนั้นยังเป็นป่ารก คุณแม่ของยายน่วมเป็นคนมาช่วยตัดต้นไม้ หักล้างถางพงเพื่อก่อสร้างวัดขึ้นมา โดยเฉพาะบริเวณหอแจกหรือศาลาการเปรียญหลังเดิมที่ก่ออิฐถือปูนแบบโบราณฝีมือช่างญวน หรือ คนเวียดนามที่ได้มาก่อสร้างเอาไว้ หลังจากก่อสร้างสิม หรือ โบสถ์ที่วัดโพธารามได้ไม่นาน
โดยโบสถ์วัดโพธารามก่อสร้างปี 2447 แล้วเสร็จเมื่อปี 2451 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณปี 4 ปี โดยมีชาวบ้านหลายคนได้มาร่วมก่อสร้างด้วย รวมอายุสิมแห่งนี้มีอายุประมาณ 110 ปี หลังจากก่อสร้างสิมแล้วเสร็จ ได้มีการว่าจ้างช่างแต้มหรือช่างวาดมาวาดรูปตามฝาผนังของสิม โดยมีชื่อของช่างสิงห์แห่งบ้านคลองจอบ อ.พยัคฆภูมิพิสัย และช่างจารย์ซาลาย มาช่วยกันวาด หลังจากนั้นก็มีก่อสร้างหอแจกหรือศาลาการเปรียญขึ้นในปี 2460 นับอายุหอแจกมีอายุประมาณ 101 ปีพอดี ซึ่งรูปแบบการก่อสร้างหอแจกนั้นเป็นฝีมือช่างจากญวน หรือ คนเวียดนาม สาเหตุที่ในสมัยนั้นมีช่างญวณหรือเวียดนามเข้ามารับจ้างหากินในไทย
พ่อเสถียร พุทไธสง มัคคุเทศก์ท้องถิ่นของตำบลดงบัง บอกว่า เพราะที่เวียดนามเกิดสงคราม มีฝรั่งเศสเข้ามาครอบครองทำให้ช่างฝีมือต่างๆ ออกมาหารับจ้างเพื่อเอาเงินกลับไปเลี้ยงดูครอบครัว ทำให้ในพื้นที่อีสานหลายจังหวัด มีโบสถ์ มีสิม ฝีมือาาช่างญวณอยู่หลายแห่ง ทำให้รูปแบบที่ออกมาแตกต่างจากช่างท้องถิ่นอีสานที่มีอยู่ รวมถึงหลังคาก็มีตัวพญนาคในรูทรงที่แปลกไป การปั้นปูนลอยหลายรูปก็ดูแตกต่างจากฝีมือช่างลาว หรือ อีสานในพื้นที่
นอกจากหอแจกที่น่าสนใจแล้ว ในหอแจกยังมี ธรรมาสน์ไม้ ที่ยังแข็งแรงและงดงาม ยายน่วมบอกว่าเป็นฝีมือช่างชื่อพรมมา เป็นคนทำเอาไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ แต่เพิ่งมาหยุดใช้เมื่อ 30 กว่าปีก่อนเพราะเกรงจะชำรุด โดยธรรมาสน์ไม้ยังมีการวาดรูปประดับตกแต่งพร้อมการแกะสลักไม้ที่สวยงาม รูปที่วาดเอาไว้นั้น มีทั้งเรื่องราวของพระเวสสันดร พุทธประวัติ และมีเรื่องสินไซบางภาพประกอบอยู่ด้วย
วกกลับมาเล่าเรื่องสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในบ้านดงบังสมัยก่อน ยายน่วมเล่าให้ฟังว่า สมัยแม่ของยายเป็นเด็ก ป่าแถบนี้รกมาก มีทั้งเสือและช้างอาศัยอยู่ชุกชุม โดยมีหลักฐากจากหนองน้ำที่อยู่ท้ายบ้านหนองพอก มีหนองน้ำชื่อหนองซำช้าง หรือ ที่ช้างเดินมาเล่นน้ำ หรือ นอนคลุกโคลน และพอนอนจนอิ่มหนำสำราญใจแล้วก็จะเดินข้ามไปหากินที่หนองแก่นช้างซึ่งอยู่แถวบ้านตลาด อยู่ฝากถนนสายวาปีปทุม-บุรีรัมย์ โดยช้างมีชุกชุมจนชาวบ้านหวาดกลัวไม่กล้าเข้ามาทำมาหากินอยู่ในบริเวณนี้ จนกระทั่งเวลาผ่านไป เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น จำนวนป่าลดลง จำนวนช้างก็หายไป รวมถึงเสือที่เคยอยู่อาศัยแถบนี้ชุกชุมก็ค่อย ๆ หายไปเช่นกัน
แม้ทุกวันนี้บ้านดงบัง จะไม่มีดง หรือต้นไม้รกเพื่อบดบังหมู่บ้านเอาไว้ แต่ก็ยังหลงเหลือต้นไม้ใหญ่ให้เห็นอยู่บริเวณป่าช้าเก่า ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ ซึ่งยังมีต้นไม้อายุหลายร้อยปีอยู่หลายต้น รวมถึงบริเวณศาลปู่ตาที่อยู่ข้างโรงเรียนชุมชนบ้านดงบังก็ยังมีต้นไม้ใหญ่อยู่ให้เห็นเช่นกัน
จะอย่างไรก็ตาม แม้ทุกวันนี้จะไม่มีเสือ ไม่มีช้างให้เห็น แต่ก็ยังโชคดีที่ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่ ได้เล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ลูกหลานได้ฟัง และโชคดีที่สุดที่ชาวชุมชนยังหวงแหนมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของตนเองไว้ ไม่ทุบสิมเก่าโบราณทิ้ง ไม่ทุบหอแจกทิ้ง แต่ยังรักษาและใช้ประโยชน์มาจนถึงรุ่นนี้ น่าภูมิใจและน่าปรบมือให้จริง ๆ
หากคุณอยากรู้จักบ้านดงบังมากกว่านี้ ลองไปเที่ยว ไปเยือนบ้านดงบังแห่งนี้ดู ซึ่งตอนนี้มีมัคคุเทศก์น้อยตัวเล็ก ๆ ที่ได้รับการอบรมและพัฒนา พร้อมที่จะบอกเล่าเรื่องราวของบ้านดงบัง ให้กับผู้ไปเยือนได้รับรู้ พร้อมกับมีสินค้าพิเศษของชุมชน ที่มีไว้รอต้อนรับผู้มาเยือน หากไม่เชื่อต้องไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง