บำบัดไร้รอยต่อคืนเด็กดีสู่สังคม

          ปัจจุบันเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้นตอที่แท้จริงของปัญหาเกิดจากครอบครัวที่มีสถานการณ์เศรษฐกิจในสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้มีฐานะยากจน ปัญหาต่างๆ จึงตามมา

/data/content/23354/cms/bfgkmnqrs246.jpg

          กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับสถาบันอาชญวิทยา ประเทศออสเตรเลีย (Australian Institute of Criminology) หรือเอไอซี จึงจัดประชุมเชิงหลักเกณฑ์และแนวทางในการติดตามและประเมินโครงการยกระดับมาตรฐานงานยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน และร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อความเข้าใจร่วมกันติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการระหว่างกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกับสถาบันเอไอซี ไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2557

          นายฐานิส ศรียะพันธ์ อธิบดีกรมพินิจฯ นางเพ็ญพรรณ จิตตเสนีย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็กเยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายอดัม โทมิซันเวลา ผู้อำนวยการสถาบันอาชญวิทยา ดร.ขัตติยา รัตนดิลก หัวหน้าบริหารงานโครงการยกระดับมาตรฐานงานยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ร่วมลงนาม

          นายฐานิสกล่าวว่า กรมพินิจฯ และสถาบัน เอไอซี ร่วมกันติดตามและประเมินผลโครงการ โดยจะพัฒนาระบบการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผ่านการศึกษาวิจัยด้านพัฒนาบุคลากรให้มีความเป็นมืออาชีพ มีเครื่องมือประเมินสุขภาพจิตที่ได้รับมาตรฐานสากล และพัฒนาระบบบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนแบบไร้รอยต่อ

          “สาเหตุที่ทำให้เด็กและเยาวชนไปอยู่ในกรมพินิจฯ เรื่องยาเสพติดเป็นปัจจัยอันดับ 1 ที่ทำให้เด็กกระทำผิด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องลักทรัพย์ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นว่า สภาพสังคม ครอบครัวที่มีปัญหา ทำให้เด็กเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมากขึ้น ทางกรมพินิจฯ หวังที่จะกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือ ลดเด็กกลุ่มเสี่ยงในเด็ก ม.ต้น และลดขั้นตอนการพิจารณาคดี โครงการนี้ได้ผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียมาประเมินผล หากทำได้ตนเชื่อว่า จะสามารถลดจำนวนเด็กที่กระทำผิดซ้ำลงได้”

          สำหรับกรมพินิจฯ จำแนกลักษณะของเด็กเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.เด็กที่ทำผิดซ้ำซาก 2.เด็กที่พอแก้ไขได้ 3.เด็กแก้ไขไม่ได้ 4.กลุ่มเด็กที่ไม่ต้องแก้ไข

          การจำแนกเด็กจะมีเครื่องมือในการทดลองมาแล้ว 3 ปี วันนี้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการให้บุคลากรของกรมพินิจฯ เป็นมืออาชีพ เพื่อจะได้รู้จักเด็กแต่ละคน เพื่อจะใช้โปรแกรมต่างๆ เข้าไปแก้ไข โดยโครงการนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2556-2559 ซึ่งจะประเมินก่อน ระหว่าง และหลังโครงการ เพื่อที่จะแยกปฏิบัติเด็กเป็นรายบุคคล

          “จากการประเมินการกระทำผิดซ้ำ กรมพินิจฯ บำบัดแก้ไขฟื้นฟู โดยใช้โปรแกรมดังกล่าวกับเด็กแต่ละเคสได้ ออสเตรเลียก็ยังทำไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จากการประเมินผล ออสเตรเลียมีจำนวนเด็กในกระบวนการยุติธรรมใกล้เคียงกับไทย แต่สามารถลดจำนวนเด็กที่ต้องแก้ไขจริงๆ จาก 10,000 เหลือ 2,000 คน กรมพินิจฯ ศึกษาวิจัยร่วมกับออสเตรเลีย แต่ไม่ได้ลอกเลียนทั้งหมด เพราะปัญหาเด็กต้องดูข้อกฎหมาย ความเป็นอยู่ของเด็กไทยด้วย” อธิบดีกล่าวและว่า กรมพินิจฯ เองตระหนักตรงนี้ พยายามดึงชุมชน นักการศึกษา นักสังคมสงเคราะห์ เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่เด็กเริ่มเข้ากรมพินิจฯ จนถึงปล่อยตัว และกลับไปใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งถือเป็นงานที่ท้าทายมาก แต่ก็พยายามช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยง คือ ม.1-ม.3 โดยหารือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนำวิทยากรไปให้ความรู้กับอาจารย์แนะแนว

          จากสถิติของกรมพินิจฯ พบว่ามีเด็กและเยาวชนไทยกระทำผิดและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในปี’55 จำนวน 34,276 คดี และพบว่ามีเด็กกระทำผิดซ้ำสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ แนวโน้มเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดมีความรุนแรงมากขึ้น จึงจำเป็นต้องยกระดับงานยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ เราเชื่อว่าจะสามารถลดจำนวนเด็กและเยาวชนโดยไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ เพื่อก้าวเข้าสู่การคืนเด็กดีกลับสู่สังคม

          โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หลังจากที่ปี 2552-2556 สสส.เข้ามา สนับสนุนโครงการพัฒนาระบบการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม (JJRP) 3 ด้าน คือ คัดกรอง จำแนก และการบำบัดแก้ไขฟื้นฟู การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยและติดตามภายหลังปล่อยเด็ก

          นางเพ็ญพรรณกล่าวถึงการสนับสนุนโครงการนี้ว่า เด็กและเยาวชนอายุ 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะกระทำผิด ที่ผ่านมา กรมพินิจฯ ขอให้ สสส.สนับสนุนกระบวนการพัฒนาเครื่องมือเป็นงานวิจัยต่างๆ เมื่อเด็กถูกจับมา จะมีหลายกระบวนการที่จะดูแลเด็ก กว่าจะถึงการพิจารณาของศาล

          “เครื่องมือเหล่านี้ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และไม่ทำให้เด็กรู้สึกช้ำ โครงการใหม่นี้ เป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมจะมี 3 เรื่อง คือ 1.นำเครื่องมือที่ทำมาแล้วลองไปใช้จริงกับเจ้าหน้าที่ในศูนย์ฝึก ว่าเหมาะสมหรือไม่ 2.มีแบบประเมินอารมณ์ พัฒนาข้อมูลเชิงลึก 3.เมื่อเด็กเข้ามาในกระบวนการยุติธรรม ต้องออกไปสู่โลกภายนอก ซึ่งต้องมีการเตรียมตัว เรียกว่าไร้รอยต่อ ให้เด็กที่กำลังจะหลุดคดีและเตรียมความพร้อมในการฝึกอาชีพ”

          ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็กฯ บอกต่อว่า จำนวนเด็ก 20 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 30,000 คน กระทำผิดซ้ำ ทุกคนไม่ได้กลับเข้ามาทั้งหมด เด็กบางคนกระทำผิดซ้ำ 5-6 ครั้ง ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น จากสถิติ 1 ปี จะมีเด็ก 50,000 คน ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมีจำนวน 30,000 คน ที่ตัดสินแล้วและอยู่ใน 18 ศูนย์ฝึก แต่ความรุนแรงของการกระทำผิดไม่เหมือนกัน

          “เด็กถ้าพื้นฐานครอบครัวไม่ดี ก็มีแนวโน้มเสี่ยงแล้ว แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ประมาณ ม.2 และม.ปลาย แต่เด็กทั้งสองกลุ่มนี้จะต่างกัน เพราะเด็ก ม.ต้นเพิ่งเริ่มโต หากพื้นฐานครอบครัวไม่ดี ปรับตัวไม่ทันก็จะเกิดปัญหาได้ ปัจจุบันด้วยสภาพเศรษฐกิจทำให้สถานการณ์ครอบครัวไทยเปลี่ยนไป พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกมากนัก หนทางแก้ ต้องเริ่มที่ครอบครัว เพราะถ้าจะแก้ตอนที่เด็กทำผิด มันเป็นปลาย ทางแล้ว” ผอ.เพ็ญพรรณกล่าว

          เชื่อว่าการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชน จะหวังพึ่งหน่วยงานเดียว คงไม่สามารถทำได้ ครอบครัว ชุมชน และทุกหน่วยงานต้องช่วยกัน เพื่อให้เด็กเหล่านี้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

          ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด โดย ณัฐพงษ์ บุณยพรหม

Shares:
QR Code :
QR Code