บอกรักแม่วันเดียวพอหรือ???

 บอกรักแม่วันเดียวพอหรือ???

 

 

ใครกันที่ยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่ตัวเองต้องเจ็บปวดยามเราออกมาลืมตาดูโลก ใครกันที่เฝ้าเลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่ไม่ว่าเราจะดื้อ เกเรเพียงใด ใครกันที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อให้เราได้มีเงินค่าขนม คงไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน นั้นคือบุคคลที่เราเรียกว่า แม่ นั่นเอง  

 

แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ประโยคนี้คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่ปัจจุบันอาจไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อวัยรุ่นไทยซึมซับค่านิยม วิถีชีวิตที่ผิดเข้าไปมาก จากข่าวคราวที่พบเห็น วัยรุ่นสมัยนี้มักมองว่าความรักแบบชู้สาวเป็นรักที่ยิ่งใหญ่ ราวกับโลกนี้ไม่มีเธอฉันอยู่ไม่ได้ ต่างทะเลาะ ตบตี ฆ่าฟันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก บางรายสูญเสียคนรักก็ไม่คิดอะไรแล้ว โลกนี้ไม่มีเธอก็ไม่มีฉัน ยอมจบชีวิตลงเหมือนเฉกเช่นในหนังในละคร แต่นี่ชีวิตจริง!!! ความรักที่บริสุทธิ์ รักที่ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน รักไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร รักคุณตั้งแต่คุณลืมตาอ้าปาก คุณเคยมองเห็นบ้างหรือเปล่า เพราะนั้นคือรักที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะเสียใจ ทุกข์ใจ แม่คือผู้ที่คอยปลอบโยน ให้กำลังใจ และอยู่ข้างเราเสมอ

 

และในโอกาสวันแม่ที่จะเวียนมาถึงในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้ดำเนินการสำรวจ แม่ในมุมมองของวัยรุ่น ขึ้น เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของวัยรุ่นที่มีต่อแม่ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-23 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 992 คน เป็นเพศชายร้อยละ 50.8 และเพศหญิงร้อยละ 49.2 พบว่า  คำนิยามที่วัยรุ่นเห็นว่าเหมาะสมกับแม่ของตนมากที่สุด (5 อันดับแรก) คือ ร่มโพธิ์ร่มไทร ร้อยละ 26.5 ซูเปอร์วูแมน ร้อยละ 19.6 เข็มทิศนำทาง ร้อยละ 13.5 แม่พระของลูก ร้อยละ 11.2 และ ตู้ เอ ที เอ็ม เคลื่อนที่ ร้อยละ  7.6

 

ต่อด้วย การกระทำของลูกที่คิดว่าจะทำให้แม่มีความสุขและสบายใจมากที่สุด (5 อันดับแรก) คือ ตั้งใจเรียน ร้อยละ 49.3 ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและการพนัน ร้อยละ 20.0 ไม่เถียงแม่ ร้อยละ 8.9  ไม่เที่ยวเตร่ คบเพื่อนไม่ดี ร้อยละ 5.1 และช่วยแม่ทำงานบ้าน ร้อยละ 4.8  ต่อมา เรื่องที่ทำให้มีปากเสียง และไม่เข้าใจกับแม่บ่อยที่สุด (5 อันดับแรก) คือ เรื่องการใช้เงิน ร้อยละ  21.5 เรื่องการเที่ยวเตร่ ร้อยละ  14.1  เรื่องไม่ช่วยงานบ้าน ร้อยละ 13.7  เรื่องมารยาทและการพูดจา ร้อยละ 10.4  เรื่องการเรียนและผลการเรียน ร้อยละ 8.4

 

และคำพูดที่วัยรุ่นไม่อยากได้ยินจากปากแม่มากที่สุด (5 อันดับแรก) คือ ลูกไม่รักดี / ลูกเลว ร้อยละ  25.3 ไปให้ไกลๆ / อยากไปไหนก็ไป / ออกจากบ้านไปเลย ร้อยละ 13.5 เสียใจและผิดหวังในตัวลูก ร้อยละ 11.2 บ่นและห้ามเรื่องต่างๆ เช่น ห้ามเล่นเกม ห้ามคุยโทรศัพท์ ร้อยละ 9.9  ดีแต่ใช้เงิน ดีแต่เที่ยว ร้อยละ 8.4 สุดท้ายสิ่งที่ตั้งใจจะทำเพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อแม่เนื่องในโอกาสวันแม่ปีนี้ (5 อันดับแรก) คือ กอดและหอมแม่ ร้อยละ 15.3 ให้พวงมาลัย / ให้ดอกมะลิ ร้อยละ 13.6 บอกรักแม่ด้วยคำพูด ร้อยละ 12.8 กราบแม่ ร้อยละ 12.0 ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของแม่ ร้อยละ 10.8

    

แต่ว่าก็ว่าเถอะ!! ถึงผลโพลล์จะออกมาแบบนี้ แต่!!หลายๆ คนยังคงรู้สึกอายที่จะต้องแสดงความรักต่อแม่ แล้วเคยคิดกันบ้างไหมว่า แม่ เคยอายบ้างหรือเปล่าที่จะแสดงความรักต่อ ลูก

 

ทางที่ดีที่สุดถึงแม้ว่าวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีจะเป็นวันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ลูกๆ ทุกคนต้องมาแสดงความรักทั้งหมดที่มีต่อแม่ บ้างก็ไปสรรหาสิ่งของต่างๆ นานา หวังว่าจะทำเซอร์ไพร์แม่  แต่ทุกครั้งที่เราทำแม่กลับบอกเราว่า ไปซื้อมาทำไมให้เปลืองล่ะลูก เสมอ…

 

ทำไมต้องรอให้ถึงวันที่ 12 สิงหาคม แล้วจึงจะแสดงความรักที่ลูกมีต่อแม่ ทำไมไม่ทำทุกๆ วันให้มีค่าเท่าเทียมกัน เหมือนกับที่แม่ทำมาตลอดลมหายใจของเรา ถึงเวลาแล้วที่ ลูกจะแสดงให้แม่เห็นว่า รัก เพราะความรักสามารถแสดงกันได้ทุกวัน มิใช่เฉพาะวันแม่เท่านั้น 

 

หากไม่รู้จะเริ่มต้นบอกรักแม่อย่างไร ลองนำวิธีของคนส่วนใหญ่ที่ได้จากแบบสำรวจกลุ่มตัวอย่างเพื่อสำรวจว่าผู้ที่เป็นลูกมีวิธีบอกรักแม่อย่างไร และในทางกลับกันผู้ที่เป็นคุณแม่ต้องการให้ลูกปฏิบัติกับตนอย่างไรในวันแม่ที่จะถึง ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในปัจจุบันมีค่านิยมและแนวทางในการประพฤติปฏิบัติอย่างไร จากกลุ่มตัวอย่างผู้ที่เป็นลูก จำนวน 2,400 คน ตั้งแต่อายุ 6 ปี จนถึง 40 ปีขึ้นไป ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ  (สวช.) ที่ได้จัดทำขึ้นไปใช้ดูสิ โดยผลสำรวจออกมาว่า 12 วิธีที่ลูกเลือกแสดงออกเพื่อบอกว่ารักแม่ เรียงตามลำดับดังนี้ วิธีที่หนึ่ง พาแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน   ร้อยละ   26.42 โดยกลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป   วิธีที่ 2 การกอดและหอมแก้มแม่  ร้อยละ  16  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  13-18  ปี วิธีที่ 3 การมอบดอกมะลิ   ซึ่งเป็นสัญลักษณ์วันแม่ให้แก่แม่ ร้อยละ 13.33 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ 6-12 ปี

 

วิธีที่ 4 พาแม่ไปไหว้พระทำบุญ   ร้อยละ  8.92 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ 31-40 ปี วิธีที่ 5 ให้ของขวัญแก่แม่  ร้อยละ  7.42  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  19-22  ปี วิธีที่ 6 พาแม่ไปตรวจสุขภาพประจำปี  ร้อยละ  7  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  31-40  ปี วิธีที่ 7 ให้บัตรอวยพร  ร้อยละ 5.58  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  6-12 ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบัตรอวยพรที่เด็กๆ  ทำมาจากโรงเรียน   วิธีที่ 8 ให้เงินพิเศษ ร้อยละ 5.25 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ อายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจเป็นช่วงของอายุที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน

 

          วิธีที่ 9 ชวนแม่เข้าครัวทำอาหารรับประทานกันเอง  ร้อยละ  4.67  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  23-30  ปี ซึ่งอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัว และมีลูกเล็กจึงอาจไม่สะดวกที่จะไปรับประทานอาหารนอกบ้าน  รวมทั้งอาจเกิดจากการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 วิธีที่ 10 การอวยพรหรือบอกรักแม่ผ่านทางกระดาษบันทึกข้อความ (กระดาษโน้ต)  จดหมาย  ร้อยละ 2.00  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  อายุ  13-18  ปี  ซึ่งเป็นช่วงวัยรุ่นจึงไม่ค่อยกล้าแสดงออกตรงๆ  วิธีที่ 11 การอวยพรหรือบอกรักแม่ผ่านทางอีเมล หรือโทรศัพท์  ร้อยละ  1.83 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  อายุ  13-18  ปี ซึ่งนิยมชมชอบการใช้เครื่องมือสื่อสาร วิธีสุดท้าย บอกรักหรือให้คำมั่นสัญญาด้วยคำพูดต่อหน้า มีเลือกเพียงร้อยละ 1.58 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ 13-18 ปี เด็กในวัยนี้จะติดเพื่อน ดังนั้น จึงใช้วิธีนี้เพื่อสร้างความมั่นใจต่อแม่

 

ส่วนผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ที่เป็นแม่ใน  กทม.และปริมณฑล  จำนวน  1,500 คน ตั้งแต่อายุ  23  ปีจนถึง  60  ปีขึ้นไป  ได้ข้อสรุป  12  วิธี (ที่แม่อยากให้ลูกเลือก) ในการบอกรักแม่  1.พาแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน  ร้อยละ 42.50 ซึ่งมากที่สุดเช่นเดียวกับกลุ่มของผู้ที่เป็นลูก  โดยกลุ่มอายุของผู้เป็นแม่ที่เลือกมากที่สุดคือ อายุ 41-50 ปี แสดงว่าคุณแม่วัยนี้นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน  2.พาแม่ไปไหว้พระทำบุญ ร้อยละ  18.80  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  60  ปีขึ้นไป  3.การกอดและหอมแก้มแม่ ร้อยละ 10.13 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  อายุ 23-30 ปี 4.พาแม่ไปตรวจสุขภาพประจำปี (ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วย) ร้อยละ 9.73  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  51-60  ปี อาจเนื่องจากสุขภาพที่เริ่มถดถอย และเริ่มดูแลตนเองมากขึ้น

 

5.ชวนแม่เข้าครัวทำอาหารรับประทานกันเอง  ร้อยละ  6.53  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ  อายุ 31-40 ปี 6.การมอบดอกมะลิซึ่งเป็นสัญลักษณ์วันแม่ ร้อยละ 3.07 7.การอวยพรหรือบอกรักแม่ผ่านทางอีเมล   หรือโทรศัพท์ ร้อยละ 2.13 8.ให้ของขวัญแม่ ร้อยละ 2.00 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ อายุ  41-50  ปี 9.การบอกรักหรือให้คำมั่นสัญญาด้วยคำพูดต่อหน้า ร้อยละ  1.73  กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ อายุ 23-30 ปี 10.ให้เงินพิเศษ  ร้อยละ 1.60 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ 60 ปีขึ้นไป 11.การอวยพรหรือบอกรักแม่ผ่านทางกระดาษบันทึกข้อความ/จดหมาย  ร้อยละ 1.60 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ อายุ 31-40 ปี 12.ให้บัตรอวยพร ร้อยละ 0.27 กลุ่มอายุที่เลือกมากที่สุดคือ อายุ 51-60 ปี

 

แต่ที่สำคัญที่สุดถ้าอยากให้แม่มีความสุดสูงสุดนั้นลูกๆ ต้องทำด้วยความรัก…ด้วยความสุข…ผลที่ตามมาเชื่อได้เลยว่าผู้เป็นแม่ก็จะสุขด้วย แต่ถ้าเมื่อไรที่ลูกทุกข์…แม่จะสุขได้อย่างไร

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update:11-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

 

 

         

Shares:
QR Code :
QR Code