นักวิทยาศาสตร์น้อยผลิไอเดียสู่งาน…เพื่อสุขภาพ
เชื่อว่า.. หลายๆ คนที่เคยผ่านชั้นเรียน ต่างต้องเคยผ่านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์กันมาบ้าง จะมากจะน้อยคงขึ้นอยู่กับแผนกที่เรียน ความชอบ ความสนใจ แต่ที่แน่ๆ ด้วยความที่เป็นเรื่องซึ่งต้องค้นคว้า ทดลอง และใช้เวลาเฝ้าคอยสังเกตต่างจากวิชาอื่นๆ คนส่วนใหญ่จึงมักยกวิทยาศาสตร์ “ขึ้นหิ้ง” เอาไว้ เหมือนกลายเป็นเรื่องสงวนไว้เฉพาะคนเก่งเท่านั้น
แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเด็กๆ ที่คลุกคลีกับงานวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ ราวกับว่าทัศนคติเดิมๆ ได้เริ่มอ่อนแอลงไป เพราะทันทีที่ยิงคำถามถึงโครงงานวิทยาศาสตร์กับความเป็นเด็กเรียนดี พวกเขาบอกได้ทันทีเลยว่าไม่เกี่ยวกัน ขอเพียงชอบสังเกตและคิดหาคำตอบไปกับมัน แค่นี้ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ได้แล้ว
ยิ่งเมื่อปัญหาของเรื่องที่ถูกตั้งขึ้นเป็นสมมติฐานล้วนมาจากความสนใจใกล้ตัว ของ “ขึ้นหิ้ง” แบบที่เคยขยาดกัน มีอันกลายเป็นของเล่นขึ้นมาทันที
อย่างที่ “น้ำ” ธีรนันท์ สงคราม นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนจักราชวิทยา จ.นครราชสีมา อธิบายว่า ผลงาน “การเปรียบเทียบหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทตามท้องตลาด กับหมึกพิมพ์ที่สกัดจากพืช” ซึ่งเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ที่เธอและเพื่อนๆ ได้ร่วมคิดค้นระหว่างกิจกรรม “โครงงาน (เชิง) วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เกิดขึ้นได้จากคำถามเพียงแค่ว่า เมื่อโรงเรียนมีความต้องการใช้สีเป็นอุปกรณ์การเรียนจำนวนมาก เหตุใดถึงไม่ผลิตขึ้นใช้เอง?
แล้วใครจะรู้ว่าคำถามง่ายๆ แบบนี้ เป็นที่มาของบทเรียนนอกตำราของเธอและเพื่อนที่ว่า ด้วยการลองผิดลองถูกหาวัสดุธรรมชาติเพื่อใช้ทำสี ทั้งสีดำจากถ่าน สีเหลืองจากดอกดาวเรือง สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน สีเขียวจากเปลือกส้มโอ สีแดงจากเปลือกแก้วมังกร ฯลฯ
“พวกเราลองมาหมดแล้วค่ะ แต่บางอย่างก็ใช้ไม่ได้ คือมีสีจริง แต่เดี๋ยวก็จางไป” น้ำบอกการคิดค้นสีที่ว่านี้นำมาสู่โครงงานก่อนหน้าอีก 2 โครงงาน ประกอบไปด้วยโครงการผลิตสีเทียนใช้วาดเขียน และปากกากระดานไวท์บอร์ดด้วยสีธรรมชาติ ซึ่งเสมือนเป็นการชิมลางทดสอบคุณภาพของสี ก่อนจะพัฒนามาสู่การทำหมึกอิงค์เจ็ทด้วยสีธรรมชาติ 4 สี ได้แก่ สีดำจากถ่าน สีน้ำเงินจากดอกอัญชัน สีแดงจากเปลือกแก้วมังกร และสีเหลืองจากขมิ้น ซึ่งทั้งหมดจะถูกผสมกับแอลกอฮอล์ และผ่านกระบวนการผลิตต่อไปตามขั้นตอน
“การใช้หมึกตามท้องตลาดจะมีกลิ่นเหม็นทำลายสุขภาพ แถมมีราคาแพง ทำให้เวลาที่เราจะพรินท์งานถึงจะจำเป็นก็ไม่อยากจะพรินท์เยอะ เพราะเสียดายหมึก” น้ำบอก และว่า ขณะที่สีจากธรรมชาตินั้น สามารถลดราคาค่าใช้จ่ายซื้อหมึกพิมพ์ได้ถึง 5 เท่าต่อ 1 ขวด ขณะที่อัตราการพิมพ์ไม่ต่างกัน
“รู้สึกภูมิใจที่ได้ใช้ความรู้ที่พัฒนาในเรื่องที่เราสนใจ เมื่อได้หมึกธรรมชาติมา แม้จะมีคุณลักษณะต่างจากหมึกตามท้องตลาดบ้าง ซึ่งก็ต้องไปพัฒนาต่อ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าใช้ได้ดี และทุกคนในโรงเรียนก็ได้ใช้ประโยชน์” น้องน้ำกล่าวอย่างภูมิใจ
ขณะที่โครงงาน “เศษอาหารหมักอัดแท่ง เพื่อเลี้ยงสัตว์แบบพอเพียง” ของนักเรียนโรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม จ.เพชรบูรณ์ ก็มากไปด้วยไอเดียแบบไม่น้อยหน้าใคร
“อิ๋ว” วัชราภรณ์ ชาญธัญญกรรม นักเรียนชั้น ม.5 หนึ่งในทีมงาน เล่าจุดเริ่มต้นว่า เศษอาหารที่ได้จากนักเรียนกว่าสองพันคนในโรงเรียนนั้นมีเยอะมาก เช่นเดียวกับมลภาวะทางอากาศ จำพวกกลิ่นบูดเน่า ที่แปรตามกัน
“แทนที่จะปล่อยไว้แบบนั้น เศษอาหารเหล่านี้นำมาทำอะไรได้อีกบ้าง ก็ไปศึกษาว่าเศษอาหารเมื่อได้หมักตามสูตรแล้วสามารถชะลอการเน่าเสียได้จริงๆ จากนั้นก็มาคิดกันว่าถ้าหมักแล้วเราควรจะนำไปอยู่ในรูปแบบใดที่เหมาะสมกับการเลี้ยงสัตว์ จากนั้นก็ทดสอบกันมาเรื่อยๆ จนจบที่ว่าเศษอาหารที่หมักตามสูตรนั้น ควรจะอยู่ในแบบแท่งเพื่อให้สัตว์สะดวกต่อการกิน และยังไม่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย จึงเอาเศษอาหารมาอัดในท่อพีวีซีเป็นแท่งๆ แล้วนำไปแขวนที่บ่อปลาและกรงเลี้ยงไก่
“1 เดือนเมื่อเริ่มทดสอบ จึงรู้ผลว่าไก่ที่กินอาหารอัดแท่งแม้จะโตช้ากว่า แต่มีความแข็งแรงกว่า เช่นเดียวกับที่เมื่อนำไปเลี้ยงปลาแล้วพบว่า ถึงจะโตช้า แต่มีความแข็งแรงกว่าเช่นกัน อีกทั้งลักษณะของสีไม่ต่างกันด้วย” น้องอิ๋วสรุป
“แต่เมื่อมองถึงเรื่องต้นทุน ก็ถือว่าลดลงได้มากเลยทีเดียว เพราะการลงทุนของเราน้อยมาก กลิ่นเหม็นของเศษอาหารก็ลดลง ตอนนี้ชาวบ้านเขาก็สนใจจะเอาสูตรไปทำบ้าง” เธอพูดเสริม นับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีจุดเริ่มต้นเพียงความสงสัย แต่สุดท้ายแล้วผลของมันกลับพัฒนาได้ไกลกว่าการตั้งคำถาม
“โครงงาน (เชิง) วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า” ที่เป็นบ่อเกิดของแรงสร้างสรรค์ดั่งที่ยกตัวอย่างมานี้ นายชายกร สินธุสัย นักวิชาการศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) ผู้จัดการโครงการ อธิบายว่าสิ่งสำคัญหาได้อยู่ที่ความเป็นเลิศทางผลงาน หากในทางกลับกัน มันอยู่ที่การฝึกคิดและปฏิบัติผ่านกิจกรรม โดยจะเน้นการสร้างกระบวนการคิด และทำงานทางวิทยาศาสตร์แก่นักเรียนและครู
นอกจากนี้ องค์ความรู้ที่ได้ต้องเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง นำไปใช้ได้จริงในโรงเรียน จากนั้นก็กระจายสู่ชุมชนของตัวเอง เพื่อไปพัฒนามิติทางสุขภาพแก่ชุมชนท้องถิ่นตัวเอง เทียบได้ว่าเอาความรู้ไปทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นเหมือนที่ว่ากันว่า แค่รู้จักคิดและตั้งคำถามอย่างเป็นระบบนักวิทยาศาสตร์ก็ได้อยู่ในตัวคุณแล้ว!!!
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
update : 30-12-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน