นักกฎหมายย้ำร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรักษาได้ประโยชน์ทั้งแพทย์-คนไข้

นักกฎหมาย ย้ำ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ได้ประโยชน์ทั้งแพทย์ ประชาชน แจงยิบมาตรการที่ขัดแย้ง ชี้กฎหมายต้องประกอบกันหลายฉบับอย่าอ่านฉบับเดียวแล้วมีอคติ ชมรมเภสัชกรชนบท หนุนอีกแรง เร่งทำความเข้าใจ เห็นข้อดีทั้งหมอ-ประชาชน             

 

นักกฎหมายย้ำร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรักษาได้ประโยชน์ทั้งแพทย์-คนไข้

ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส  อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  กล่าวว่า วัตถุประสงค์ ของร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. … หากพิจารณาจะพบว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย ทำเพื่อผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์อย่างชัดเจน เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อเยียวยาความเสียหาย โดยไม่ต้องฟ้องร้องในชั้นศาล หากอ่านร่าง พ.ร.บ. ให้ละเอียดโดยไม่มีอคติ จะเห็นว่ามีการเขียนอย่างละเอียดรอบคอบ เช่น มาตรา 5 ที่แม้จะระบุว่าไม่ต้องมีการพิสูจน์ถูกผิด และเมื่ออ่านในมาตรา 6 ก็มีการเขียนว่า เหตุการณ์แบบใดบ้างที่จะร้องขอการเยียวยาไม่ได้ โดยระบุว่า 1. เกิดความเสียหายจากความปกติธรรมดาของโรค 2. แพทย์ทำตามมาตรฐานวิชาชีพแล้ว ศ.แสวง กล่าวว่า สำหรับประเด็นสัดส่วนคณะกรรมการที่มาจากตัวแทนวิชาชีพ ที่ถูกคัดค้าน เมื่อพิจารณาก็พบว่า มีทั้งปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ตัวแทนจากสถานพยาบาล รวมแล้วมีแพทย์ประมาณ 5 ท่าน ทั้งนี้ การมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในคณะกรรมการ ก็ไม่มีความจำเป็นเพราะร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวไม่มีการพิสูจน์ถูกผิด แต่หากจะมีการเพิ่มเติมตัวแทนจากสภาวิชาชีพในสาขาอื่นๆ หรือมีตัวแทนจากราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นรายละเอียดที่สามารถจะตกลงกันได้ในภายหลัง           

 

ศ.แสวง กล่าวต่อว่า  สำหรับประเด็นที่เป็นปัญหาเรื่องการฟ้องร้องต่อศาลภายหลังจากมีการจ่ายค่าชดเชยช่วยเหลือแล้ว ตามพ.ร.บ.ระบุว่า หากมีการรับเงินช่วยเหลือแล้ว และมีการพิพากษาให้มีการจ่ายเงินอีก ก็ให้หักเงินที่มีการช่วยเหลือไปแล้วก่อนหน้านั้นออกไป สำหรับการฟ้องคดีอาญาซึ่งเป็นหลักกฎหมายทั่วไป ในมาตรา 45 ได้ระบุว่า ถ้าผู้เสียหายทำสัญญาประนีประนอมแล้ว แพทย์สามารถนำสัญญาดังกล่าว ยื่นต่อศาลเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ ซึ่งหมายถึงศาลจะสั่งลงโทษน้อยกว่า หรือไม่ลงโทษก็ได้ ซึ่งไม่มีกฎหมายวิชาชีพฉบับใดบัญญัติเป็นประโยชน์ต่อวิชาชีพเท่ากฎหมายฉบับนี้ เพราะไม่ต้องมีการรับผิดแต่อย่างใด ศ.แสวง กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลมีความกังวลในเรื่องกรณีตกลงกันไม่ได้ ผู้เสียหายจะฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งจะพิจารณากฎหมายฉบับอื่นประกอบคือ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539  ตามมาตรา 5 ระบุชัดเจนว่า กรณีเกิดความเสียหายให้ฟ้องหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งหมายถึงกระทรวงสาธารณสุข แต่จะฟ้องแพทย์ หรือโรงพยาบาลไม่ได้           

 

กฎหมาย โดยทั่วไปจะมีการใช้ร่วมกันหลายฉบับ ไม่สามารถอ่านแค่กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งแล้วตีความ เพราะเวลาใช้จริงจะมีการดูกฎหมายหลายฉบับประกอบกัน  ซึ่งเมื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการบริการสาธารณสุขแล้ว เห็นได้ว่ากฎหมายมีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะคุ้มครองประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งไม่อยากให้ใช้อคติหรือเบี่ยงเบนประเด็นทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเสียประโยชน์ต่อทุกฝ่ายศ.แสวง กล่าว

 

            ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ ที่ปรึกษาชมรมเภสัชกรชนบท กล่าวว่า กลุ่มเภสัชชนบท จะร่วมมือกับแพทย์ชนบท เพื่อทำความเข้าใจไปยังวิชาชีพอื่นๆ และชี้แจงต่อเพื่อนสมาชิกทั่วประเทศ เพราะเห็นว่าข้อมูลที่เกิดขึ้น มีความผิดพลาดเข้าใจผิด ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายเกิดความสบายใจ เพราะร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวถือว่ามีประโยชน์ ทั้งประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์  ส่วนประเด็นที่ยังมีความสงสัยและถกเถียง เชื่อว่าจะสามารถคุยกันได้ ในขั้นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร ไม่น่าต้องเป็นกังวล เพราะประโยชน์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ประชาชนจะได้รับการคุ้มครอง บุคลากรทางการแพทย์ก็ได้รับการคุ้มครองด้วย

ที่มา:สำนักข่าว สสส.

Update:3-08-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :คีตฌาณ์ ลอยเลิศ

Shares:
QR Code :
QR Code