ทึ่งชุมชนน่าอยู่ หัวลำภู-หลักกิโลสาม
จากบ่อกุ้งรกร้างแปรเปลี่ยนเป็นแปลงผักอินทรีย์ขนาดย่อม และจากหมู่บ้านที่พบภาวะเสี่ยงโรคมะเร็งของคนในชุมชน กลายเป็นหมู่บ้านสุขภาวะต้นแบบให้กับอีกหลายพื้นที่
สำนักงานสร้างสรรค์โอกาสและนวัต กรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำโดย ผอ.เพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ นำกรรมการบริหารแผนงาน ผู้จัดการแผนงาน และผู้รับผิดชอบโครงการร่วมสร้างชุมชนและท้องถิ่นให้น่าอยู่ภาคใต้ เยี่ยมชมความสำเร็จเล็กๆ ใน 2 หมู่บ้าน 2 อำเภอ จ.นครศรีธรรมราช
เหตุที่ต้องเอ่ยว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นใน 2 ชุมชน เป็นเพียงความสำเร็จเล็กๆ นั้น เนื่องจากทั้ง 2 หมู่บ้านเป็นชุมชนที่ชาวบ้านเพิ่งรวมตัวกันในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง หลายๆ อย่างจึงยังไม่ลงตัว แต่กล่าวได้ว่า ทุกย่างก้าวที่คนทั้ง 2 ชุมชนกำลังก้าวเดินไปนั้นเป็นย่างก้าวที่พร้อมเพรียง และดูคล้ายจะมั่นคงพอดู
หมู่บ้านแรกคือ บ้านหัวลำภู ต.หัวไทร อ.หัวไทร เจ้าของโครงการคลินิกชุมชนคนรักสุขภาพ และกำลังต่อยอดเป็นโครงการมหาวิทยาลัยชุมชน
นางภูษณิศา แก้วเนิน ผู้รับผิดชอบโครงการ และแกนนำคนสำคัญของชุมชน เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการรวมตัวกันทำโครงการคลินิกชุมชนว่า ช่วงแรกให้ชาวบ้านช่วยกันคิดว่าแต่ละคนอยากแก้ปัญหาของตัวเองในเรื่องใดก่อน ผลส่วนใหญ่ออกมาว่า ชาวบ้านอยากจะแก้ปัญหาปากท้อง และเรื่องเศรษฐกิจก่อน
“เราตั้งคำถามต่อว่า หากคุณมีเงินหลายล้าน แต่คุณนอนโรงพยาบาลไม่ได้ใช้จะคุ้มกันหรือ จนกลายมาเป็นข้อสรุปที่ว่า สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าสุขภาพดี เราสร้างเศรษฐกิจให้ดีได้ จากนั้นจึงเริ่มสำรวจสุขภาพของคนในชุมชน พบว่าคนในหมู่บ้านเป็นโรคมะเร็งกันเยอะ หลายคนจึงเริ่มเป็นห่วงสุขภาพตัวเอง และช่วยกันคิดว่าจะหาทางออกอย่างไร จนเกิดเป็นโครงการขึ้นมา” ภูษณิศากล่าว
โครงการคลินิกชุมชนคนรักสุขภาพของบ้านหัวลำพูนั้น เริ่มต้นโดยมีครอบครัวสมัครใจเข้าร่วมกว่า 30 ครัวเรือน เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในกลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ จนนำมาสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่หลีกเลี่ยงสารเคมี ที่เป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งที่เกิดกับคนในชุมชน
จากนั้นหลายบ้านเริ่มหันมาปลูกผักปลอดสารเคมีไว้ทั้งสำหรับกินเอง และนำไปขายที่ตลาด ทำปุ๋ยหมักจากธรรมชาติขึ้นมาใช้เอง นำวัตถุดิบที่มีในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เช่น ผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่ม แชมพู รวมถึงการสกัดน้ำมันมะพร้าวสำหรับใช้ในครัวเรือน และผลิตขายในนามชุมชนหัวลำภู
โดยตั้งยี่ห้อว่า “แจ่ม” เป็นชื่อที่ชาวบ้านช่วยกันตั้ง เนื่องจากเห็นตรงกันว่ามะพร้าวอุดมไปด้วยประโยชน์สารพัดอย่าง จนไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายได้ดีไปกว่า
นายวันเฉลิม คงเล่ห์ คือตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของหมู่บ้านนี้ เขาละทิ้งหน้าที่การงานในบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ เดินทางกลับบ้านเกิด ก้มหน้าง่วนกับแปลงผักปลอดสารพิษ บ่อกบและบ่อกุ้งฝอย ด้วยคิดว่าผักและสัตว์ที่ลงมือปลูกและเลี้ยงด้วยตนเองน่าจะปลอดภัยกว่าอาหารที่มาจากระบบการผลิตที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่ง
“เคยมีโรงเรียนมาดูงานแปลงผัก เห็นผักมีหนอน ก็ถามเราว่าทำไมผักมีหนอน เราก็เลยคิดว่าเอาเท่าที่หนอนไม่ได้กิน แบ่งกันระหว่างคนกับหนอนคนละ 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าเราใส่สารเคมีในผัก มันไม่ใช่แค่แมลงที่ตาย แต่ในอนาคตเราก็จะตายด้วย” วันเฉลิมเล่า
เช่นเดียวกับ ลุงบุญธรรม สังข์ผอม อดีตคนขับรถแบ๊กโฮ ที่ผันตัวเองมาปลูกผักอยู่บ้านกับภรรยาที่ทำมาก่อนแล้ว โดยดัดแปลงพื้นที่มรดกกว่า 3 ไร่เป็นสวนเกษตรอินทรีย์ย่อมๆ มีทั้งบ่อปลานิล คอกหมู คอกไก่ โรงเพาะเห็ดฟาง รวมทั้งแปลงผักกินได้ และไม้ผลที่ยืนต้นอยู่รอบสวนอีกหลายอย่าง ชนิดที่หากออกดอกออกผลพร้อมๆ กัน คงต้องเกณฑ์ชาวบ้านหมู่อื่นมาช่วยเก็บ
ลุงบุญธรรมเล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนทำงานไม่เคยมีเงินเหลือ แต่เมื่อกลับมาอยู่บ้าน ปลูกผัก เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา สามารถเก็บหอมรอมริบรายได้จากการขายผักและอื่นๆ จนพอสร้างบ้านหลังเล็กๆ ได้
ขณะที่อีกหมู่บ้านไม่น้อยหน้า ชุมชนหลักกิโลสามเป็นการรวมตัวกันของหมู่ 2 และหมู่ 3 ต.ปากพนังฝั่งตะวันออก อ.ปากพนัง
โดยชุมชนนี้พัฒนาบ่อกุ้งจากที่ปล่อยรกร้างไว้ โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ หลังธุรกิจบ่อกุ้งประสบความล้มเหลวเมื่อปีพ.ศ.2550 จนหลายครอบครัวหมดเนื้อหมดตัว มาเป็นพื้นที่เกษตรโฉมใหม่ บ่อกุ้งกลายเป็นบ่อปลา คันนากุ้งกลายเป็นแปลงผักอินทรีย์ขนาดย่อม โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่มีตัวแทนหมู่บ้านกลุ่มเล็กๆ เดินทางไปดูงานที่ ต.ปากพูน อ.เมืองนครศรี ธรรมราช แล้วเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงหมู่บ้านให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ป้าสมพร ศรีคง ชาวบ้านที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เล่าว่า เมื่อก่อนเลี้ยงกุ้ง แม้ในช่วงแรกจะยังได้กำไรดี แต่ช่วงหลังคนหันมาเลี้ยงกุ้งกันเยอะ และมีบางคนชักน้ำเสียลงคลองจนเกิดเป็นโรคระบาด ส่งผลให้ธุรกิจบ่อกุ้งของหลายครัวเรือนต้องล้มลง สมาชิกบางครอบครัวต้องเดินทางเข้าเมืองรับค่าแรงขั้นต่ำ
ป้าสมพรเล่าอีกว่า ดัดแปลงพื้นที่รอบคันนากุ้งเป็นแปลงผักอินทรีย์ โดยใช้วิธีเอาผ้ายางมารองพื้นดิน ก่อนเอาหญ้า ดิน และปุ๋ย มารองตามลำดับ ก่อนหว่านเมล็ดผัก สร้างสวนผักน้อยๆ รอบบ้าน
ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้ผ้ายางมารองก่อนนั้น ป้าสมพรอธิบายว่า เพราะต้องการป้องกันปัญหาดินเค็ม เนื่องจากพื้นที่แถบนี้เป็นบ่อกุ้งและชายฝั่งทะเล ส่วนบ่อกุ้งป้าสมพรก็เปลี่ยนเป็นบ่อปลา สร้างรายได้ให้ตนเอง ผักสวนครัวอย่างพริก ป้าจัดแจงปลูกลงปล่องปูน ซีเมนต์เป็นแนวยาวตลอดหลังบ้าน
ขณะที่อีกหลายๆ ครัวเรือนต่างก็มีวิธีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพพื้นที่แตกต่างกันออกไป เช่น บ้านหลังหนึ่งใช้พื้นที่รอบคันนากุ้ง สร้างเล้าเลี้ยงเป็ดไก่ เก็บไข่ขายและกิน
นอกจากแปลงเกษตรที่ชาวบ้านให้ความสำคัญแล้วนั้น ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่ชุมชนหลักกิโลสามช่วยกันสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงสีข้าวกล้อง การจัดตั้งศูนย์ระวังภัยสุขภาพประจำชุมชน การจัดศูนย์จำหน่ายยาสามัญประจำชุมชน การจัดตั้งหอกระจายข่าวประจำชุมชน กิจกรรมเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากชาวบ้านไม่ร่วมมือร่วมใจกัน
นอกจากนี้ ชุมชนหลักกิโลสามยังเปิดโอกาสให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วม และแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะกิจกรรมกระปุกออมสินของเด็ก ที่ส่งเสริมให้เยาวชนในท้องถิ่นนำเงินมาฝาก และให้เด็กได้เรียนรู้การจัดการและบริหาร ด้วยการรับผิดชอบโครงการด้วยตนเอง
โดยมอบหมายให้รุ่นพี่ดูแลจัดการบัญชีและเงิน รวมทั้งสอนงานให้แก่น้องรุ่นถัดไป ด้วยความหวังจากผู้ใหญ่ว่า กิจกรรมที่พวกเขาสนับสนุนจะส่งผลให้เยาวชนในหมู่บ้านเข้มแข็ง และห่างไกลจากปัญหายาเสพติดและปัญหาอื่นๆ ในสังคม
นี่อาจเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย ที่หยิบมาเล่า แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเหลี่ยมมุมที่ไม่ได้พบเห็นหรือนำเสนอปัญหาบางอย่างในหมู่บ้านที่ยังสัมผัสไม่ทั่วถึง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งชุมชนหัวลำภู และชุมชนหลักกิโลสาม เป็นตัวอย่างของชุมชน ที่ไม่ยอมศิโรราบให้กับความล้มเหลว หากแต่กล้าที่จะหยัดยืนขึ้นอีกครั้งด้วยกำลังและเรี่ยวแรงที่มี
ที่น่าประทับใจคือ พวกเขาเลือกที่จะช่วยกันพยุงกันขึ้นมา โดยไม่ได้ปล่อยให้ใครต้องลุกขึ้นแต่เพียงลำพัง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด