“ถ้าอยากให้เด็กเก่ง ต้องชวนออกมาเล่น”
ที่มา : หนังสือ ACTIVE PLAY ออกมาเล่นมากประโยชน์ โดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
แฟ้มภาพ
ประโยคนี้อาจฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อเก่าที่ว่า ถ้าอยากให้เด็กได้เรียนรู้มากๆ ก็ต้องบรรจุวิชาเยอะๆ ลงในหลักสูตร และความเชื่อที่ว่าการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมทางกายอาจไปรบกวนเวลาเรียนรู้ของเด็ก แต่กลับมีผลการวิจัยทั่วโลกบอกว่า หากเด็กมีกิจกรรมทางกายทุกวันจะทำให้ผลการเรียนดีขึ้น เพราะ“การออกมาเล่น” (Active Play)
นอกจากจะทำให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง คล่องตัว อารมณ์แจ่มใสแล้ว ยังช่วยทำสมองของเด็กตื่นตัวในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ สมาธิ และความจำ รวมถึงการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น
“ออกมาเล่น” (Active Play) คืออะไร
คือ กิจกรรมการเล่นใดๆ ที่เด็กเป็นผู้ร่วมเล่นด้วยตนเอง ทำให้เด็กได้รับความสนุกสนาน เป็นการเล่นที่ไม่มีการกำหนดรูปแบบกติกาที่เป็นทางการ และอยู่นอกเหนือชั่วโมงพลศึกษา ทั้งยังหมายถึงการละเล่นพื้นบ้านหรือเล่นสนุกที่บ้านได้ด้วย การออกมาเล่นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางกาย (Physical Activities หรือ PA) อันหมายถึง การเคลื่อนไหวโดยใช้กล้ามเนื้อโครงสร้างและทำให้มีการใช้พลังงานของร่างกาย ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
ระดับเบา : คือระดับที่มีการเคลื่อนไหวน้อยมาก เช่น การยืน การนั่ง
ระดับปานกลาง : คือการเคลื่อนไหวออกแรงที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มีความหนักและเหนื่อยในระดับเดียวกับการเดินเร็ว ขี่จักรยาน การทำงานบ้าน โดยมีชีพจรเต้น 120-150 ครั้ง / นาที และระหว่างที่เล่นยังสามารถพูดเป็นประโยคได้และมีเหงื่อซึมๆ
ระดับหนัก : คือการเคลื่อนไหวร่างกายที่มีการทำซ้ำและต่อเนื่อง โดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การวิ่ง การเดินขึ้นบันได การออกกำลัง มีระดับชีพจร 150 ครั้งขึ้นไป จนทำให้หอบเหนื่อยและพูดเป็นประโยคไม่ได้
**การออกมาเล่นให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและส่งผลที่ดีต่อสุขภาพ เด็กๆ จะต้องมีกิจกรรมทางกายในระดับปานกลาง-หนัก
ทำไมต้องชวนเด็กออกมาเล่น?
เพราะเด็กสมัยนี้ขาดกิจกรรมทางกายและใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเฉลี่ยวันละ 3.1 ชั่วโมงต่อวันและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น แถมยังมีภาวะเฉื่อยและเนือยนิ่งมากขึ้น
การเอาแต่นั่งๆ นอนๆ เล่นเกม ดูทีวี เป็นเวลานานจนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้มีกิจกรรมทางกายต่ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ และเด็กจะขาดทักษะการเข้าสังคมเด็กที่มีกิจกรรมทางกายน้อยกว่า 60 นาทีต่อวัน ถือว่าเข้าข่ายอยู่ในภาวะเนือยนิ่ง!
จากผลการสำรวจการมีกิจกรรมทางกายระดับประเทศ โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เปรียบเทียบปีพ.ศ. 2555 และ 2558 พบว่า เด็กไทยมีกิจกรรมทางกายลดลงจากร้อยละ 67.6 ในปี 2555 เป็นร้อยละ 64.8 ในปี 2558
องค์การอนามัยโลกประมาณการว่า การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโลกร้อยละ 5.5 หรือประมาณ 3.2 ล้านรายต่อปี
รู้ไหมว่า…
เด็กที่มีสุขภาพกายแข็งแรงจะมีขนาด Hippocampus สมองด้านความจำและ Basal Ganglia สมองควบคุมการตัดสินใจใหญ่กว่าปกติ และการทำงานของสมองทั้ง 2 ส่วนนี้มีผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของเด็ก
นอกจากนี้เด็กที่ออกมาเล่น
– ลดโอกาสเกิดภาวะอ้วน 10%
– ลดโอกาสการเข้าถึงปัจจัยเสี่ยง เช่น บุหรี่ ยาเสพติด เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
– ค่าใช้จ่ายรักษาสุขภาพ
– ลดลงลดโอกาสในการเกิดโรคหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ มะเร็ง และเบาหวาน
ประโยชน์ 3 ด้านของ Active Play
ไม่ว่าเด็กจะเล่นคนเดียว เล่นเป็นคู่ เล่นเป็นกลุ่ม หรือเล่นโดยมีรูปแบบและกติกา ก็ล้วนทำให้เด็กได้รับความสนุกสนานและมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ตามแนวทาง Bloom’s Taxonomy of Learning ดังนี้
1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)หรือเรียกว่า พัฒนาการทางสติปัญญา เกิดจากการทำงานของสมองในขณะที่เด็กเล่น โดยทำหน้าที่สั่งการให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเคลื่อนไหวอย่างประสานสัมพันธ์กัน พร้อมๆ กับเด็กจะทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมขณะเล่น และส่งผลต่อการพัฒนาสติปัญญาเด็กในการเรียนรู้สาระวิชาการด้านอื่นๆ อีกด้วย
2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) คือการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการทางเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ประสบการณ์ที่มีคุณค่าด้านเจตคติของเด็กที่มีต่อตนเองและผู้อื่น เด็กจะยอมรับกฎระเบียบและถือปฏิบัติตาม พร้อมทั้งเห็นคุณค่าของการเคารพกติกาในการเล่น เกิดทักษะสังคมและเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น
3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือการเรียนรู้พัฒนาทักษะทางกาย โดยเด็กจะสามารถเลียนแบบท่าทางจากการเล่น รู้จักพัฒนาการควบคุม บังคับการเคลื่อนไหว และเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย
สรุปง่ายๆ ว่า Active Play เป็นกิจกรรมที่มีศักยภาพเพื่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทั้งมิติทางกาย สมอง และสังคม