“ตู้เย็นตู้สุดท้าย”แหล่งทำมาหากิน
“บ้านของผมเปรียบเสมือนตู้เย็นตู้สุดท้ายที่ เหลืออยู่ในขณะนี้ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทุบตู้เย็นของผมเด็ดขาด…”เสียงสะท้อนก้องของ สุเมศ บินระหีม เป็นเหมือนกับการประกาศกร้าวว่าจะสู้ยิบตา หากใครมารุกรานหรือทำลายแหล่งทำมาหากินที่เกาะท่าไร่ ต.คลองขนาน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่
หนุ่มลูกน้ำเค็มอย่าง สุเมศ เปรียบเทียบแหล่งทำมาหากินที่เขาอยู่ เป็นเสมือนตู้เย็นในบ้าน เพราะทุกครั้งที่ชาวบ้าน หรือคนในชุมชนรู้สึกหิว ก็สามารถเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบอาหารมาทำกินได้ ซึ่งก็หมายถึงบริเวณพื้นที่เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่มีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ มีหอยให้หา มีปลาให้จับ ในทุกครั้งที่ออกไปหากินในผืนท้องน้ำบริเวณรอบเกาะทุกคนไม่เคยต้องอด
แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดเกาะนี้กลายเป็นของนายทุนให้ทำธุรกิจ นั่นหมายถึงชาวบ้านทุกคนจะหมดสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาเปิดตู้เย็น หรือแหล่งอาหารตรงนี้ได้อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจซื้อที่ดินผ่ากลางเกาะจากชาวบ้านที่ทยอยขาย และปลูกข้าวผ่ากลางเกาะเพื่อเป็นการตัดโอกาสจากนายทุนทิ่วิ่งเข้ามากว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อนำไปทำสนามกอล์ฟ
“ผมไม่ได้ขัดขวาง หากจะลงทุนทำสนามกอล์ฟที่นี่ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าตีกอล์ฟอย่างไรก็ได้ แต่ห้ามตีผ่านมากลางทุ่งนาที่ผมปลูกข้าวไว้” สุเมศ กล่าว
พื้นที่ทั้งเกาะ 1,500 ไร่ ปัจจุบันเป็นของสุเมศ 50 ไร่ โดยเป็นแปลงที่ดินยาวขวางเกาะ พื้นที่ทั้งหมดใช้เพื่อการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองทั้งหมด ด้วยความ มุ่งมั่นและปณิธานที่ว่าต้องการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นเมืองไว้เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลัง พร้อมกันนั้นก็พร้อมที่จะสร้างจุดขายว่าหากคนที่ต้องการมาเที่ยวเกาะแห่งนี้ ต้องมาทำงาน มาดูการทำนาเท่านั้น เพื่อเป็นการสืบสานการทำนาให้เป็นที่รู้จักแก่คนรุ่นหลังและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
สุเมศบอกอีกว่า คนที่จะอยู่ได้ท้องต้องอิ่ม เมื่อท้องอิ่ม ชีวิตมีความสุข มีเงินใช้ ก็ไม่อยากขายที่ทำกิน ดังนั้นก็คิดว่าเมื่อมีข้าวกินให้อิ่มท้อง ที่เหลือก็พอขาย เพื่อให้มีรายได้ แต่ด้วยความที่กระบี่เป็นเมืองท่องเที่ยว ดังนั้น หากต้องทำให้คนในชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยว ก็ต้องเป็นการท่องเที่ยวที่อยู่กับธรรมชาติ จะไม่มีสิ่งปลูกสร้างบนเกาะ คนที่มาเที่ยวคือต้องการมาดูวิถีชีวิตของชุมชน มาดูการทำงานและมาลองทำนา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังอยู่ที่บทสรุปสุดท้ายที่ว่าจะไม่ยอมทำลายตู้เย็น เพื่อให้เกิดปัญหาจนทรัพยากรทางท้องทะเลที่มีอยู่สูญหายไป…
ความคิดของหนุ่มน้ำเค็มคนนี้เป็นเพียงหนึ่งความคิดแรงกล้าของคนในชุมชนที่ลุกขึ้นมาพิทักษ์และหวงแหนสิ่งที่ในชุมชนตัวเองมีอยู่ไม่ให้สูญหายไปกับกระแสความเจริญที่โหมกระพืออยู่ในขณะนี้
ในงาน “ร่วมขับเคลื่อนชุมชนและท้องถิ่นให้น่าอยู่สู่วิถีการจัดการตนเอง” ที่สถาบันวิจัยระบบสุขภาพภาคใต้ ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้น ทำให้พบความเข้มข้นของความคิดและความแกร่งของคนในชุมชนที่ลุกขึ้นมาพิทักษ์สิทธิ์ของตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง โดยไม่รอหวังพึ่งภาครัฐเพียงอย่างเดียว ในงานนี้มีชาวบ้านหลายกลุ่มจากหลายชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งพาตัวเองได้อย่างน่าชื่นชม
นางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สสส.กล่าวว่า การสร้างชุมชนน่าอยู่เป็นหลักคิดสำคัญของการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นให้เข้มแข็ง น่าอยู่ ปลอดภัย พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ทั้งด้านสังคม การศึกษา สุขภาพ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ สสส.ดำเนินโครงการร่วมสร้างชุมชนและท้องถิ่นให้น่าอยู่ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบันมี 1,351 โครงการ ครอบคลุม 1,271 หมู่บ้าน ของ 58 จังหวัดทั่วประเทศ
เน้นส่งเสริมการรวมกลุ่มของชุมชนด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างนวัตกรรมสอดคล้องวิถีชีวิต ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพคนในชุมชน เช่น ลดการบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดปริมาณขยะในชุมชน ลดการใช้สารเคมี/ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้พลังงาน
ด้านนพ.บัญชา พงษ์พานิช กรรมการบริหารแผนคณะ 6 สสส.กล่าวว่า ปัจจุบันความเปลี่ยนแปลงทุกด้านทำให้ชุมชนอยู่อย่างมีความสุข ในกระแสความเปลี่ยนแปลงมี 3 สิ่งสำคัญ คือ การปรับวิธีคิด ว่าด้วยชีวิต ชุมชน ท้องถิ่น และความอยู่เย็นเป็นสุข ต้อง เป็นความสุขที่เกิดแบบรวมหมู่ของหมู่คณะ มิใช่ของใครของมัน
การเสริมกระบวนการทำงานแบบหมู่คณะของชุมชน ท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและจริงจัง ไม่ใช่การรวมกลุ่มเพียงเฉพาะหน้า หรือแบ่งสรรจัดหาประโยชน์ และภาครัฐจะต้องปรับบทบาท กระจายอำนาจให้เกิดการหมุนเวียนและเสริมสร้างศักยภาพ บทบาท สร้างโอกาสให้แก่ชุมชน
“ความโดดเด่นของชุมชนท้องถิ่นภาคใต้มีจุดเด่น โดยเฉพาะความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางงบประมาณ ความสามารถในการริเริ่มคิดค้นขับเคลื่อนนวัตกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเชื่อมโยงเป็นขบวนภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายของชุมชนท้องถิ่นอื่นๆ ในการดำเนินงานและขับเคลื่อนเครือข่ายในแบบใหม่ที่ไม่ใช่การรวมศูนย์ในแนวตั้ง” นพ.บัญชา กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก