ดื่มสุราเพิ่มเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
สธ. เผย คนไทย 18 ปีขึ้นไปดื่มสุรา 2.7 ล้านคน ดื่มแบบอันตราย 1.8 ล้านคน ดื่มแบบติด 9 แสนคน ผู้ที่มีปัญหาการดื่มสุราเข้าถึงการรักษาเพียง 9.83% ชี้ดื่มสุราเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส 3 -7 เท่า มีโอกาสเข้าไอซียู 60%
วันนี้ (18 พฤษภาคม) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงพันธุ์นภา กิตติรัตนไพบูลย์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงสถานการณ์และผลกระทบต่อพฤติกรรมการดื่มสุราในยุคโควิด-19 ว่า ปัญหาพฤติกรรมดื่มสุรา ก่อให้เกิดการสูญเสียปีสุขภาวะจากภาวะบกพร่องทางสุขภาพ เป็นอันดับหนึ่งในเพศชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนตน โดยคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป มีปัญหาพฤติกรรมดื่มสุรา 2.7 ล้านคน ดื่มแบบอันตราย 1.8 ล้านคน และดื่มแบบติด 9 แสนคน ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มีผู้ที่มีปัญหาการดื่มสุราเข้ารับการรักษาเพียง 265,540 คน ผู้มีปัญหาการดื่มสุราที่ควรได้รับการดูแลรักษาได้รับการรักษาจริงเพียง 9.83% แสดงว่า มีผู้ที่มีปัญหาการดื่มสุรา อีกจำนวนมากกว่า 90% ที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษา อย่างไรก็ตาม ปัยหาพฤติกรรมการดื่มสุรา ติดสุรา สามารถรักษาได้
“ความเสี่ยงการติดเชื้อในผู้ที่ดื่มสุรา พบว่า การดื่มสุราให้ภูมิคุ้มกันลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสกว่า 3 – 7 เท่า มีโอกาสเข้าไอซียู มากกว่าปกติ 60% หากป่วยเป็นโรคปอดบวม ทั้งนี้ ในกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ยังเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อและป่วยเป็นหวัดได้ 30% หญิงตั้งครรภ์ ที่ดื่มสุรา เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อในปอดของทารกแรกเกิดถึง 2.9 เท่า” แพทย์หญิงพันธุ์นภา กล่าว
แพทย์หญิงพันธุ์นภา อธิบายต่อไปว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ช่วยป้องกันหรือฆ่าเชื้อไวรัสได้ ในทางกลับกัน การดื่มสุราจะยิ่งทำให้ตับถูกทำลาย ลดภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค เพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของการติดเชื้อ ลดการตอบสนองต่อยารักษาภาวะติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ ในช่วงกักตัวคนเดียว ไม่ควรดื่มสุราปริมาณมาก หรือดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจดื่มมากเกินขนาด ทำให้มึนเมา หกล้ม บาดเจ็บ หรือแอลกอฮอล์กดการหายใจ จนหมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ เพราะไมได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
จากมาตรการงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันที่ 12 เมษายน – 30 เมษายน 2563 ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา หน่วยระบาดวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ ทำการสำรวจประชาชนใน 15 จังหวัดทั่วประเทศ โดยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ จากกลุ่มตัวอย่าง 1,566 คน ระหว่างวันที่ 18 – 19 เมษายน 2563 พบว่า ประชาชนไม่ดื่มเลย 48.5% ดื่มน้อยลง 33.0% ดื่มเท่าเดิม 18.2% ดื่มบ่อยขึ้น 0.3%
โดยเหตุผลหลักที่ทำให้นักดื่มเหล่านี้หยุดดื่มหรือดื่มน้อยลง คือ หาซื้อไม่ได้/หาซื้อยาก , กลัวเสี่ยงติดเชื้อ , รายได้น้อยลง/ไม่มีเงินซื้อ และ ต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ขณะที่ ความเดือดร้อนในช่วงห้ามขายสุรา มีประชาชนที่ไม่ได้รับความเดือนร้อนใดๆ กว่า 90.5% ถัดมา คือ เดือดร้อนจากการไมได้ดื่มสังสรรค์ 5.9% เสียรายได้จากการขาย/ปิดร้าน 3.6% และ มีอาการขาดสุรา (5 ราย) 0.3%
แพทย์หญิงพันธุ์นภา กล่าวต่อไปว่า สำหรับบทเรียนจากมาตรการงดขายสุรา ในช่วง 1 เดือน พบว่า สามารถลดการรวมกลุ่มดื่มสุรา รักษาระยะห่างทางสังคม ลดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด เพิ่มโอกาสให้ผู้ดื่มสุราได้ลดการดื่มสุราลง ผู้ติดสุราสามารถลดและหยุดดื่มได้ ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต ของผู้ดื่มสุรา และครอบครัว ชุมชน ขณะที่มาตรการที่ยาวนาน ช่วยให้ผู้ดื่มสุรา ปรับตัวคุ้นชินกับพฤติกรรมใหม่ที่ไม่ดื่มสุรา สมองและร่างกายมีเวลาพัก ฟื้นฟูสุขภาพ และสามารถหยุดดื่มสุราได้อย่างถาวรในที่สุด
แพทย์หญิงพันธุ์นภา กล่าวว่า หลังจากวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งมีการอนุญาตให้ขายสุราได้ กลับพบมีการกระทำผิดเนื่องจากการดื่มสุราเกิดขึ้น เช่น เมาแล้วขับ สะท้อนให้เห็นว่า การดื่มสุราซึ่งสอดคล้องกับปัญหาสุขภาพจิต โดยการดื่มสุราอาจช่วยให้ลืมปัญหาไปได้ชั่วขณะแต่พอหยุดดื่มก็จะเครียดมากขึ้นมาอีก ทำให้อยากดื่มอีกเพื่อลืมปัญหาต่อ นอกจากนั้น แอลกอฮอล์ยังออกฤทธิ์กดสมอง ลดความสามาถในการคิดอ่าน ยิ่งทำให้ปัญหาหนักขึ้นและไม่ได้รับการแก้ไข
นอกจากนี้ การดื่มหนักและการดื่มเป็นประจำ ทำให้อาการซึมเศร้าแย่ลง และผลจากแอลกอฮอล์ที่มีต่อความสมดุลของสารสื่อนำประสาทในสมอง ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ ขณะเดียวกันแอลกอฮอล์ ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ การตัดสินใจเสีย เสี่ยงทั้งการเกิดความรุนแรง และการทำร้ายตัวเอง คนที่ทำร้ายตัวเองมากกว่าครึ่งระบุว่า ดื่มสุราก่อนลงมือทำร้ายตัวเอง
ทั้งนี้ การจะหยุดการดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้สมองค่อยๆ กลับมาทำงานเป็นปกติ ทำให้คิดถึงสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รู้สึกซึมเศร้าลดลง และยังทำให้คนรอบข้างเข้ามาให้ความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามหากรู้สึกซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย สามารถปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ ต้องการหยุดดื่มเหล้า สามารถโทรปรึกษา 1413
“ตามประกาศของจังหวัดต่างๆ ห้ามจำหน่ายสุรา ทั้งปลีกและส่ง เราสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเลิกเหล้าได้ ถือเป็นโอกาสทองของชีวิต ร้านเหล้าปิด ชีวิตมีภูมิคุ้มกัน โดยสามารถค่อยๆ ลดปริมาณการดื่มลงทีละน้อย จนสามารถหยุดได้ ไม่ควรหักดิบเอง ญาติต้องสอดส่อง ดูแล และควรพาไปพบแพทย์ ตั้งเป้าหมายเลิกเพื่ออะไร เพื่อใคร และไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาเครื่องดื่ม ไม่ควรดื่มปริมาณมากหรือดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน เมื่ออยู่คนเดียว ไม่ควรดื่มเพื่อจัดการกับความเครียดหรือความเบื่อที่ต้องแยกตัวจากสังคม และหยุดดื่มเพื่อสุขภาพกายและใจคนรอบข้าง จะดีขึ้นอย่างชัดเจน” แพทย์หญิงพันธุ์นภา กล่าว
แพทย์หญิงพันธุ์นภา กล่าวต่อไปว่า ทุกคนในสังคมมีส่วนในการร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งอสม. แกนนำหัวหน้าชุมชน มีบทบาทในการเยี่ยมผู้ติดสุรา เพื่อชักชวน และสร้างแรงจูงใจให้ลดละเลิก ดื่มสุรา ประเมินร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อนำผู้ติดสุรา ที่มีความเสี่ยงขาดสุรารุนแรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน และแสดงความห่วงใย ให้กำลังใจผู้ติดสุรา และญาติ สนับสนุนการประกอบอาชีพ
ขณะที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทำหน้าที่คัดกรองผู้มีปัญหาการดื่มสุราในผู้มารับบริการสุขภาพ และให้คำแนะนำปรึกษาเพื่อลด ละ เลิก ดื่ม สุราอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนการดูแลผู้ติดสุรา ในชุมชน และประสานการดูแลรักษากับโรงพยาบาล
ด้านโรงพยาบาลของรัฐ ระดับอำเภอ (โรงพยาบาลชุมชน) ทุกแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสถานพยาบาลในสังกัด กทม. มีแพทย์เวชปฏิบัติ สามารถให้การรักษาภาวะขาดสุราได้ และมีพยาบาลสุขภาพจิต และจิตเวช/ยาเสพติด ที่สามารถให้การบำบัดผู้ติดสุราได้ นอกจากนี้ การรักษาผู้มีปัญหาสุรา/ติดสุรา เป็นไปตามสิทธิการรักษาฟรี
“จากงานวิจัยโดย The Lancet Public Online Aug 28,2018 ระบุว่า ไม่มีปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ใด ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ยิ่งดื่มมากขึ้น ยิ่งเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดี การไม่ดื่มเลยดีที่สุด” แพทย์หญิงพันธุ์นภา กล่าวทิ้งท้าย